หากชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน
หนทางทุกอย่างก็คงจะลงเอยด้วยดี
แต่ชีวิตคู่ในความเป็นจริงนั้น
มักจะมีเรื่องครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
หลายอย่างจึงเกิดขึ้นทั้งหมด...บนถนนชีวิตผู้หญิงไทยคนหนึ่ง

บทชีวิตสะใภ้ที่ 15
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ปณัฐดาไม่ได้รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้กลับมาในบ้านหลังนี้ เหมือนความรู้สึกที่เธอเคยกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่ต่างจังหวัดที่จากมา ความรู้สึกตรงนั้นรู้สึกรักและอบอุ่นที่สุด แต่ในบ้านของมิสซิสเมเปิ้ลมีความรู้สึกหลายอย่างที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กับเรื่องราวที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า เธอกังวลสารพัดอย่างเกรงว่ามารดาคนรักจะพูดกระทบกระแทกให้อีก หญิงสาวได้แต่ทำใจรับกับสภาพชีวิตที่ต้องเผชิญให้ดีที่สุด เพื่ออดทนอยู่กับคนที่เธอรักให้มากที่สุด ทางด้านรอยคีนส์นั้นก็ยังดีเสมอต้นเสมอปลาย ชายหนุ่มคอยปลอบโยนให้กำลังใจเธอเสมอ แม้ในยามเธอไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ เขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างเธอตลอด
พอรถจอดสนิท รอยคีนส์และปณัฐดาก็ช่วยกันขนอาหารที่ซื้อมาไปใส่ไว้ในตู้เย็นที่ห้องนอน ซึ่งห้องนอนของรอยคีนส์ถูกตกแต่งคล้าย ๆ กับห้องสูทที่มีห้องครัวและตู้เย็นร่วมอยู่ด้วย รอยคีนส์เกรงว่าอาหารไทยของปณัฐดาจะส่งกลิ่นเหม็นและทำให้มารดาไม่พอใจ จึงเลือกที่จะให้ปณัฐดานำอาหารไปเก็บในตู้เย็นที่ห้องนอนเสียมากกว่า ขณะที่เดินผ่านห้องรับแขก เสียงใครบางคนร้องทักทันที
"ไปเที่ยวนิวออร์ลีนส์เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม ว่าแต่ได้อะไรมาล่ะเนี่ย ดูเยอะแยะเต็มไปหมดเลย"
ปณัฐดาหันไปยิ้มให้มารดาคนรักนิดหนึ่ง "อาหารไทย ๆ นะคะคุณแม่ พอดีเอริณพาณัฐไปซื้ออาหารไทยที่ร้านคนเอเชียค่ะ ได้มาหลายอย่างเลย ณัฐมีขนมมาฝากคุณแม่ด้วยค่ะ"
"แม่ดีใจนะที่เอริณมีน้ำใจพาเธอไปซื้ออาหารมาตุนไว้ แล้วซื้อมาเยอะ ๆ แบบนี้มันไม่เสียหรอกหรือ"
"ไม่หรอกค่ะ พวกน้ำพริกนี่เก็บไว้ได้นาน ไม่เสียหรอกค่ะ ส่วนอาหารอื่น ๆ ก็เป็นพวกอาหารกระป๋อง เก็บไว้ได้เป็นปีเลยค่ะ"
"ยังไงก็อย่าให้ห้องนอนเหม็นเสียล่ะ"
ปณัฐดาพยักหน้านิดหนึ่ง "ค่ะ"
รอยคีนส์เห็นท่าทีของมารดาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น "คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ห้องนอนของผมและปณัฐดา ถึงจะมีกลิ่น ก็เป็นกลิ่นอาหารของเราสองคน ผมชอบอาหารไทย ผมรับได้ครับ" รอยคีนส์หันมายิ้มให้ปณัฐดา "ใช่ไหมครับที่รัก"
มิซซิสเมเปิ้ลดูจะไม่พอใจนักที่เห็นรอยคีนส์ตอบแบบนั้น สีหน้าของเธอบึ้งตึงขึ้นมาทันที เพราะดูเธอจะรู้สึกว่าลูกชายใส่ใจและห่วงใยคนรักมากกว่าความกังวลใจของเธอเสียอีก
"ตามใจล่ะกัน เดี๋ยวแม่จะไปนอนพักแล้ว รู้สึกเหนื่อย ๆ ยังไงก็ไม่รู้"
การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวรอยคีนส์ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเสมอไป ปณัฐดาพยายามที่จะปรับตัวเข้ากับครอบครัวของชายหนุ่มให้ได้ เธอพยายามหัดรับประทานพิซซ่าและขนมปัง แต่จนแล้วจนเล่าหญิงสาวก็รับประทานได้เพียงน้อยนิด ปณัฐดาเลือกที่จะทานข้าวกับไก่ทอดเสียมากกว่า หลังจากที่กลับมาจากเยี่ยมเอริณและแดเนียล ปณัฐดาได้ซื้อน้ำพริกและอาหารที่โปรดปรานติดมือกลับมาหลายอย่าง
พอจัดของเสร็จแล้ว ปณัฐดาก็เอากระยาสาร์ทและขนมไทย ๆ ไปฝากมิซซิสเมเปิ้ล หญิงสาวเคาะประตูตามมารยาท และรอคนในห้องนอนอนุญาต
"เข้ามาได้" เสียงอนุญาจจากเจ้าของห้อง
หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องนอนใหญ่ เดินสำรวมและระวังไม่ให้เสียงดัง
"ณัฐเอาขนมมาฝากคุณแม่และคุณพ่อนะคะ เป็นขนมไทย ๆ อร่อยมากเลยค่ะ"
"ขอบใจมากปณัฐดา ว่าแต่ขนมพวกนี้แพงไหม แล้วเนี่ยรอยคีนส์จ่ายเงินหมดไปเยอะไหมเนี่ย"
"ก็เยอะเหมือนกันค่ะ"
"ฉันว่านะ เธอน่าจะหัดทานอาหารอย่างพวกฉันบ้าง จะได้ช่วย ๆ กันประหยัด"
ปณัดารู้สึกสะอึกทันทีที่ได้ยินมารดาคนรักตำหนิ การมาใช้ชีวิตต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หญิงสาวรู้สึกอึดอัดกับการมีชีวิตแบบนี้ รู้สึกว่าชีวิตคู่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดไว้เลย
"ณัฐขอโทษนะคะคุณแม่ ณัฐพยายามแล้วค่ะ แต่ณัฐทานไม่ค่อยได้จริง ๆ"
"ตอนนี้ทานไม่ได้ ก็ค่อย ๆ หัดกันไป ฉันสงสารรอยคีนส์ที่จะต้องทำงานหาเงินคนเดียว ถ้าไม่ช่วยกันประหยัดเมื่อไหร่จะมีบ้านของตัวเองล่ะ"
"ค่ะ ณัฐจะพยายามค่ะ"
"เธอเดินทางมาเหนื่อย ๆ ก็น่าจะไปพักได้แล้ว"
"ค่ะ ณัฐขอตัวนะคะ"

ปณัฐดาเดินกลับมาที่ห้องนอน ซึ่งรอยคีนส์นอนอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาในห้องนอน หญิงสาวเดินมานั่งข้าง ๆ คนรักไม่พูดไม่จาอะไร ความเงียบเหงาทำให้เธอรู้สึกคิดถึงบ้านจับใจ รู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่มีใครเลย ปณัฐดามีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับรอยคีนส์ แต่เธอกลับไม่มีความสุขเลยที่ถูกมารดาคนรักคอยพูดกระทบกระแทกให้หลายอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ทำงานและไม่ได้ช่วยรอยคีนส์หาเงินสร้างฐานะ ทำให้มารดาคนรักเกรงว่าหญิงสาวจะมาปอกลอกชายหนุ่ม แต่ถ้าปณัฐดามีโอกาสได้ทำงาน เธอก็จะหางานทำให้มากที่สุด เพื่อแสดงให้มารดาคนรักรู้ว่า ผู้หญิงอย่างเธอรักใครรักจริง และไม่เคยมีความคิดหวังหลอกกินผู้ชายคนใดเด็ดขาด
ใบหน้าเศร้า ๆ ที่นั่งมองภาพข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เหมือนคนที่กำลังผิดหวังอะไรสักอย่าง ทำให้รอยคีนส์เห็นแล้วรีบวางหนังสือลงทันที อดไม่ได้ที่จะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
"เหนื่อยไหมที่รัก" คำถามที่เอื้อนเอย และขยับตัวมานั่งลงใกล้ ๆ
"นิดหน่อยค่ะ"
"คุณนอนพักไหม เดี๋ยวผมนอนพักกับคุณด้วย"
"ณัฐนอนไม่หลับค่ะ"
"ก็นอนเล่น ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหลับ นอนพักให้หายเหนื่อย หรือคุณจะไปนั่งดูทีวีก็ได้นะ" รอยคีนส์บอก
"ไม่เป็นไรค่ะ ณัฐชอบอยู่กับคุณมากกว่า"
บ่ายวันนั้นปณัฐดาและรอยคีนส์นอนพักผ่อนที่ห้องนอนเสียนาน พอช่วงเย็น ๆ หญิงสาวก็ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เข้าไปช่วยงานมิสซิสเมเปิ้ลที่ห้องครัว ปณัฐดาช่วยเป็นลูกมือให้มารดาคนรักในห้องครัว ไม่ว่าจะล้างจาน ล้างผัก ช่วยทำนั่นทำนี่ตามแต่มารดาคนรักจะสั่ง หญิงสาวไม่เคยรังเกียจที่จะทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำให้ดีที่สุด ปณัฐดายังจำสุภาษิตไทยไว้เตือนใจตัวเองอยู่ตลอด "อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกหลานท่านเล่น" ปณัฐดาคิดว่าการมาพักอาศัยอยู่บ้านคนอื่นนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานให้กับเจ้าของบ้าน ประพฤติตัวดีทำให้เจ้าของบ้านพึงพอใจที่สุด
หลังจากที่อาหารเย็นเตรียมพร้อม ทุกคนก็มานั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว มิสซิสเมเปิ้ลก็บอกรอยคีนส์กับปณัฐดาให้รอพบกับเธอที่ห้องรับแขก ปณัฐดาช่วยเก็บกวาดห้องครัวจนเสร็จ จากนั้นก็เดินไปนั่งข้าง ๆ คนรักที่ห้องรับแขก
"พอดีแม่มีเรื่องจะคุยด้วย เกี่ยวกับเรื่องงานแต่งของเราสองคนนะ เรื่องอาหารการกิน" มิสซิสเมเปิ้ลหันไปบอกลูกชาย
"ตกลงเราจะจัดแบบไหนดีครับ"
"แขกที่จะมาก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แม่ว่าไม่ต้องจัดหรูหรอก เอาแค่ธรรมดา ๆ แบบเรียบง่ายดีกว่า เดี๋ยวแม่กับเพื่อนๆ จะช่วยกันจัดซุ้มงานพิธีเอง"
"ให้ณัฐช่วยนะคะคุณแม่"
มิสซิสเมเปิ้ลพยักหน้า "ได้ ๆ"
"แล้วเรื่องอาหารล่ะครับ ปณัฐดาบอกว่าเธอจะทำอาหารไทยร่วมด้วยครับ" รอยคีนส์บอก
"อาหารไทย แบบไหนเหรอ"
"ก็อาหารง่าย ๆ นะครับ ขนมปังหน้าหมู ผัดไทยกุ้งสดครับ" รอยคีนส์บอก
"ตามใจแล้วกัน และก็ไม่ต้องทำเยอะ เพราะคนแถวนี้เขาไม่เคยทานอาหารไทย เกรงว่าจะไม่มีคนทาน สิ้นเปลืองเปล่า ๆ" มิสซิสเมเปิ้ลหันไปบอกปณัฐดา
"ค่ะ"
"แม่ว่าจะทำพวกครอฟิชเอทูเฟ่และก็กัมโบ ที่เหลือก็เป็นพวกอาหารเคจั่นอย่างสองอย่างตามด้วย ส่วนพวกขนมหวานนั้นแม่ก็คงสั่งทำจากร้านนะ ว่าแต่เค้กงานแต่งล่ะ จะเอายังไง"
"เอาแบบง่าย ๆ ดีกว่าครับ ไม่ต้องพิถีพิถีนมากหรอก"
"แม่ว่าไปสั่งที่วอลมาร์ทก็ดีนะ ราคาไม่แพง เขาทำสวยด้วยแหละ"
"ก็ดีครับ เดี๋ยววันศุกร์นี้ผมหยุด เราไปสั่งด้วยกันนะครับ" รอยคีนส์เห็นด้วย
"แล้วเพื่อน ๆ ของคีนส์จะมากันเยอะไหมลูก"
"ก็มีเอริณ แดเนียล เบคก้า เจอรามี อลัน และก็คุณพ่อกับคุณแม่ของเอริณด้วยครับ"
"ไม่เยอะเลย ทางแม่ก็คงไม่มีใคร มีครอบครัวภรรยาวินเฟรด เพื่อนแม่อีกสองสามคน และก็เพื่อน ๆ ผู้ใหญ่จากโบสถ์ที่แม่ไปร่วมอีกสี่ห้าคน ส่วนพี่ ๆ ของคีนส์คนอื่น ๆ นะ แม่คงไม่เชิญเขามางานนี้หรอก แม่ไม่อยากมีปัญหากับใคร"
"ก็ดีครับ ผมเองก็ไม่อยากให้พี่ ๆ คนอื่น ๆ ที่ไม่สนิทมาสร้างปัญหาในงานแต่งงานของผม เพราะพวกเขาก็ไม่ได้ยินดีอะไรกับชีวิตของผมอยู่แล้ว"
"คีนส์ไม่ต้องห่วงหรอกลูก งานนี้แม่รับรองพี่น้องคนอื่น ๆ ของคีนส์ไม่มีใครมาหรอก"
"ครับ ผมเกือบลืมบอกคุณแม่ พอดีเพื่อนผมจากแคลิฟอร์เนียร์จะบินมาร่วมงานด้วยครับ ชื่อบาร์บาร่า คุณแม่จำได้ไหม"
"จำได้สิ ตกลงบาร์บาร่าจะมาร่วมงานจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย"
"ครับ เห็นเธอบอกว่าจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว" รอยคีนส์พยักหน้ายิ้มนิด ๆ
"ดี ๆ แม่ก็อยากเห็นคนแถวแคลิฟอร์เนียร์เหมือนกัน ไม่ค่อยได้เจอใครเลย เห็นเขาบอกว่าคนทางฝั่งตะวันตกค่อนข้างเป็นกันเอง ไม่รู้จะเหมือนคนทางใต้หรือเปล่า"
"ก็คงจะคล้าย ๆ กันแหละครับ ผมว่าจะไปจ้างวงดนตรีของคนเคจั่นประจำเมืองยูนิคมาแสดงในตอนงานเลี้ยงด้วยครับ อยากให้ปณัฐดาได้ดูวงดนตรีสด ๆ ของคนเคจั่น ผมคิดว่าเธอต้องชอบแน่ ๆ เลยครับ" รอยคีนส์บอกมารดาหากแต่ใบหน้าหันไปส่งยิ้มให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ติด ๆ กัน
"ก็ดี ไม่ต้องจ้างมาเล่นหลายคืนนะ เอาแค่คืนเดียวก็พอ เปลืองเงินเปล่า ๆ"
"ครับคุณแม่ แค่คืนเดียวเท่านั้น"
"แล้วเรื่องเพื่อน ๆ เจ้าสาวล่ะ เขามีชุดใส่หรือเปล่าล่ะ"
"มีครับ เอริณกับเบคก้ามีชุดพร้อมแล้วครับ ทางด้านเราก็เตรียมสั่งดอกไม้ให้พร้อมเท่านั้น ทุกอย่างลงตัวมาก ๆ เลยครับ"
"ดี ๆ จอห์นเองก็ห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วตกลงเวลาเจ้าสาวเดินออกไปในงาน คีนส์จะให้ใครเดินคู่กับปณัฐดาเพื่อส่งตัวเจ้าสาวล่ะ"
"ให้คุณพ่อก็ได้ค่ะ ณัฐว่าคุณพ่อเหมาะที่สุด" ปณัฐดาตอบ
"แล้วเธอจะไม่ชวนญาติพี่น้องในเมืองไทยมาเหรอ" มิสซิสเมเปิ้ลตอบ
ปณัฐดารู้ดีว่ามารดาคนรักไม่ได้จริงจังกับคำถามนัก หากแต่ถามเพื่อเป็นมารยาท นับแต่มาอยู่ใช้ชีวิตกับรอยคีนส์ ปณัฐดารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระที่ให้ชายหนุ่มรับผิดชอบหลายอย่าง หากจะเชิญพี่น้องครอบครัวจากเมืองไทยมาร่วมงานแต่งงานด้วย ภาระค่าใช้จ่ายก็คงจะสูงเกินที่จะรับผิดชอบได้ รู้สึกเกรงใจคนรักเป็นอย่างมาก อีกอย่างพี่น้องของปณัฐดาก็คงจะลางานมาต่างประเทศไม่ได้ เพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ที่สำคัญปณัฐดาไม่รู้ว่า ความรู้สึกของพี่น้องเป็นเช่นใดกับการที่เธอแต่งงานจากบ้านเมืองไทยอยู่ไกลแสนไกล ไม่มีพี่น้องคนใดมาส่งเธอที่สนามบินวันที่จากเมืองไทย เข้าใจดีว่าพี่น้องบางคนมาไม่ได้ แต่สำหรับพี่น้องบางคน เธอเองก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกับชีวิต ความเย็นชาที่เธอสัมผัสจากกันต์ฐิตา พี่สาวที่เธอคิดว่าดีที่สุด มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดจี๊ด ๆ อยู่ตลอด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวจึงทำตัวเปลี่ยนไป หรือเพราะว่าเธอไม่มีเงินให้พี่สาว ทำให้พี่สาวเปลี่ยนเป็นคนละคน


แต่ ณ เวลานี้ ปณัฐดาไม่อยากให้เรื่องความเจ็บปวดที่เมืองไทยเกี่ยวข้องใด ๆ ในวันสำคัญ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและพี่สาว อยากจะลืมเรื่องความเจ็บปวดไว้ข้างหลัง และก้าวไปข้างหน้าให้ดีที่สุด
"คงจะมาไม่ได้หรอกค่ะ พี่สาวและพี่ชายมีอะไรต้องรับผิดชอบเยอะ คงจะมากันไม่ได้แน่นอน อีกอย่างการทำวีซ่ามาอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ"
"แล้วเธอไม่รู้สึกผิดหวังเหรอ งานแต่งตัวเองทั้งที ไม่มีพี่น้องคนไหนมาร่วมเลย" มิสซิสเมเปิ้ลถาม
"ไม่หรอกค่ะ ตอนที่ณัฐกับคีนส์แต่งงานที่เมืองไทย พี่น้องหลายคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ถึงจะมีการแต่งงานที่นี่ ความรู้สึกของพี่น้องที่ร่วมยินดีด้วยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คุณแม่อย่าลืมนะคะว่า ณัฐกับรอยคีนส์ต้องแต่งงานกันที่นี่ เพราะต้องทำตามกฏระเบียบของฝ่ายอิมเมอเกรชั่นเพื่อปรับเปลี่ยนวีซ่าและทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของอเมริกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องวีซ่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ณัฐมีความสุขกับการได้อยู่กับรอยคีนส์ แค่งานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เมืองไทย แค่นี้ณัฐก็สุขมากพอแล้วค่ะ" ปณัฐดาตอบ ใบหน้าของเธอจริงจังกับชีวิตอยู่มากทีเดียว เธอรู้สึกอย่างไรก็ตอบไปแบบนั้น

"ฉันดีใจที่เธอไม่รู้สึกเสียใจที่พี่น้องมาร่วมงานไม่ได้"
"พี่น้องของณัฐเขาคงจะมีความสุขมาก ๆ หากรอยคีนส์รักและดูแลณัฐดี ทุกคนไม่เคยหวังอะไรเป็นสิ่งตอบแทน นอกจากได้น้องเขยที่ดีที่สุดที่อยู่เคียงข้างน้องสาวตลอดไป" ปณัฐดาตอบ
"ลูกชายของฉันเขาก็ดีของเขาอยู่แล้ว เธอก็บอกพี่น้องของเธอให้สบายใจได้เลยนะ"
"ค่ะ"
การพูดคุยเรื่องงานแต่งงานผ่านไปด้วยดี คืนนั้นก่อนเข้านอนรอยคีนส์เดินมากอดปณัฐดาไว้แน่น เขาหอมแก้มเธออย่างถนุถนอม
"คุณอยากเชิญพี่สาวมางานแต่งของเราด้วยไหม เดี๋ยวผมจะออกเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้เอง"
ปณัฐดายิ้มอย่างสุขใจ ดีใจที่คนรักห่วงใยความรู้สึกเธอตลอด
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ณัฐเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกของผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายคนที่ตัวเองรัก และไม่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรอบข้างแม้แต่คนเดียวมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ชีวิตรักของเธอจะดำเนินไปอย่างไร ณัฐเลือกที่จะรักและแต่งงานกับคุณ ณัฐพร้อมเสมอกับการก้าวไปข้างหน้าตามลำพังโดยที่ไม่มีพี่น้องคอยเกื้อหนุนอยู่ด้านหลัง ถึงกระนั้นณัฐก็รู้ดีว่าพี่สาวและพี่ชายทุกคนรักและห่วงใยณัฐเสมอ ทุกคนมีภาระที่ต้องรับผิดชอบเยอะ พวกเขามาร่วมงานแต่งงานของเราไม่ได้หรอกค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาไม่รักและไม่ยินดีกับงานแต่งของเราสองคน แต่ณัฐอยากให้คุณเข้าใจว่า ครอบครัวของณัฐไม่ได้ร่ำรวยนะคะ พวกเรายากจน หาเช้ากินค่ำ เงินจะกินจะใช้แต่ละบาทก็ต้องประหยัด และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น หากจะให้มีเงินบินมาเที่ยวต่างประเทศ พี่น้องณัฐคงไม่มีปัญญาหรอกค่ะ"
"ผมเข้าใจที่รัก แต่ผมเต็มใจและยินดีช่วย"
"ไว้ให้เราพร้อมกว่านี้ดีกว่าค่ะ ณัฐไม่อยากรบกวนค่ะ แค่คุณดูแลณัฐดีมาก ๆ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว ไว้ให้ณัฐมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง หากคุณอยากจะชวนพี่น้องของณัฐมาเที่ยวที่นี่ เราค่อยชวนพวกเขามาก็ได้ แต่ณัฐเชื่อว่าพี่น้องของณัฐคงจะไม่อยากมาอเมริกาหรอกค่ะ เพราะแต่ละคนเห็นค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็ใจหายไม่น้อย"
"ครับ ไว้ให้เราพร้อม ผมจะเชิญพี่สาวและพี่ชายคุณมาเที่ยวนะ"
"ขอบคุณค่ะ"
คืนนั้นปณัฐดานอนซบอกคนรักอยู่ตลอด เธอคิดถึงพี่น้อง คิดถึงครอบครัวที่เมืองไทยเป็นอย่างมาก สมัยที่ทำงานอยู่ที่เมืองไทย ปณัฐดาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตต้องมาแต่งงานกับผู้ชายต่างชาติ และจากประเทศที่ตัวเองรักมากที่สุด เพื่อมาใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกับคนรัก แต่ก่อนปณัฐดาไม่เคยฝันอะไรมากนัก หญิงสาวฝันแค่ได้เจอผู้ชายสักคนที่รักและดูแลเธอได้ดีที่สุด แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ดีที่สุดที่อยู่เคียงข้างเธอในวันนี้ กลับไม่ใช่ผู้ชายไทยอย่างที่เธอใฝ่ฝัน แต่เขาคนนี้เป็นชายหนุ่มที่มาจากแดนไกลแสนไกลที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ปณัฐดาและรอยคีนส์เดินทางไปรับบาร์บาร่าที่สนามบินในเมืองนิวออร์ลีนส์ ทั้งสองคนมีโอกาสได้พักอยู่ที่บ้านเอริณกับแดเนียลหนึ่งคืน พอรับบาร์บาร่าเสร็จแล้วก็พากันเดินทางกลับเมืองดีริดเดอร์ทันที บาร์บาร่าดูตี่นเต้นเป็นอย่างมากที่มีโอกาสได้มาเที่ยวหลุยส์เซียน่า เธอพูดคุยกับรอยคีนส์และปณัฐดาหลายอย่าง ระหว่างทางทั้งสามคนจอดรับประทานอาหารที่ร้านเม็กซิกันในเมืองบาตั้นรูทจด้วย ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของรัฐหลุยส์เซียน่านี่เอง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็พากันขับรถกลับมาบ้าน
มิสซิสเมเปิ้ลได้จัดห้องพักให้กับบาร์บาร่าอีกห้องหนึ่ง ทั้งสองคนดูมีความสุขที่ได้รู้จักกัน และก็นั่งสนทนากันหลายอย่าง ปณัฐดาและรอยคีนส์มีความสุขที่เห็นมิสซิสเมเปิ้ลเข้ากับเพื่อนสนิทต่างรัฐได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็พากันเอาข้าวของไปเก็บในห้องนอน และก็เตรียมพร้อมอะไรหลายอย่าง พอตอนค่ำ ๆ รอยคีนส์ก็พาปณัฐดาขับรถไปรับเค้กที่สั่งไว้ในห้างวอลมาร์ท ส่วนจอห์นและวินเฟรดนั้นก็ไปรับโต๊ะและเก้าอี้จากเมืองที่อยู่มาวางในงานอย่างเป็นระเบียบ ดอกไม้ซุ้มกระเช้าสำหรับงานพิธีถูกตกแต่งอย่างสวยงาม โดยที่มีเจมมี่และมิสซิสหลุยส์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมิสซิสเมเปิ้ลมาช่วยอีกแรง งานพิธีทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมอย่างดี คงเหลือแต่เรื่องอาหารการกินและความพร้อมในส่วนอื่น ๆ

คืนนี้ปณัฐดานอนไม่หลับ หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นไปหมด เธอตัดสินใจโทรหาพี่สาวด้วยความคิดถึงปนอยากเล่าเรื่องราวในใจให้พี่สาวฟัง
"ณัฐกำลังจะแต่งงานอีกครั้งนะคะพี่กันต์ งานแต่งนี้จะเป็นงานแต่งงานรอบที่สองของณัฐ"
กันต์ฐิตาอมยิ้มทันทีที่ได้ยินน้องสาวพูด "ฝรั่งนี่ก็แปลกนะ แต่งที่เมืองไทยแล้วก็น่าจะจบ ๆ นี่ถ้าไม่แต่งงานอีกรอบ ก็ไม่มีคนมาเซ็นต์รับรองในทะเบียนสมรส ก็ไม่สามารถอยู่ประเทศเขาได้ เมืองไทยเรานะ ใครจะแต่งงานก็แต่งไป จะแต่งกี่รอบก็ได้ หากไม่ได้จดทะเบียบสมรส ก็ยังเป็นนางสาววันยังค่ำ แต่งงานกับคนต่างชาตินี่ยุ่งยากจริง ๆ เลยนะ"
ปณัฐดาฟังที่พี่สาวบ่นได้แต่อมยิ้ม แม้จะมีคำถามมากมายว่าเกิดขึ้น ทำไมพี่สาวไม่มาส่งเธอที่สนามบิน แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถาม โดยที่ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ มากกว่า
"อเมริกาไม่เหมือนเมืองไทยเราหรอกพี่กันต์ ณัฐต้องทำตามกฏหมายของเขา เพื่อปรับเปลี่ยนสถานะจากวีซ่าคู่หมั้นเพื่อทำเรื่องอยู่อย่างถาวรทีนี่ ณัฐก็ต้องแต่งงานจดทะเบียนสมรสทีนี่" ปณัฐดาอธิบายให้พี่สาวได้เข้าใจอีกครั้ง
"แล้วที่เมืองไทยล่ะ"
"ที่เมืองไทย ณัฐกับรอยคีนส์แต่งงานกันเฉย ๆ เราสองคนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันค่ะ เพราะถ้าแต่งงานและจดทะเบียนสมรส การเดินเรื่องขอวีซ่าคู่สมรสมาอเมริกาจะช้ากว่าเดินเรื่องวีซ่าคู่หมั้นเสียอีก รอยคีนส์อยากให้ณัฐกลับมาพร้อม ๆ กับเขา เขาเลยเลือกให้ณัฐมาอเมริกาโดยวีซ่าคู่หมั้นค่ะ พอมาถึงที่นี่ก็แต่งงานกันอีกรอบ และจดทะเบียนสมรสที่นี่เลยค่ะ"
"แบบนี้ก็แสดงว่าที่เมืองไทยเรายังโสดนะสิ" กันต์ฐิตาแซวน้องสาวพลางหัวเราะอย่างมีความสุข
"ถ้าพูดไปตามกฏหมาย ณัฐก็ยังเป็นนางสาวค่ะ แต่ถ้ามีโอกาสได้กลับไปเมืองไทย ณัฐก็คงต้องไปเปลี่ยนสถานะตัวเองค่ะ อยากให้เอกสารทุกอย่างถูกต้องทั้งทางไทยและทางอเมริกา"
"ดีแล้วจ้า แล้วเราแต่งงานกับรอยคีนส์แบบนี้ เรายังนับถือสัญชาติไทยหรือเปล่า" กันต์ฐิตาถามด้วยความไม่รู้มากนัก
"ก็ยังเป็นคนไทยตลอดค่ะ ณัฐไม่ได้ทิ้งสัญชาติไทยนะคะพี่กันต์ ณัฐยังเป็นน้องพี่เสมอ ไม่ต้องกลัวว่าณัฐแต่งงานกับรอยคีนส์แล้วไทยเราจะเสียดุลนะคะ ณัฐมีโอกาสได้นับถือสองสัญชาติ เพราะที่อเมริกาเขาไม่ได้มีกฏบังคับให้นับถือแค่สัญชาติเดียวค่ะ"
"จ้า พี่ก็ดีใจกับเราด้วยนะ พี่เองก็ขอโทษที่ไม่สามารถไปส่งเราที่สนามบินได้ ขอโทษที่ไม่สามารถไปร่วมงานแต่งของเราได้ อย่างที่รู้ ๆ กันนะ พี่น้องเราทุกคนมีอะไรต้องรับผิดชอบเยอะ อีกอย่างพี่ก็เกรงใจ คงไม่ให้รอยคีนส์มาออกค่าตั๋วเครื่องบินให้หรอก มันเยอะเกินไป พี่อยากให้ณัฐและรอยคีนส์เก็บเงินเก็บทองสร้างฐานะให้มั่นคงที่สุด ในชีวิตของพี่อยากเห็นน้องสาวคนเล็กมีชีวิตที่สุขสบาย" กันต์ฐิตาบอก น้ำเสียงดูเศร้า ๆ ไปนิด
"ขอบคุณค่ะ ณัฐจะตั้งใจทำงานช่วยรอยคีนส์เก็บเงินเก็บทองสร้างฐานะให้ดีที่สุดค่ะ จะอยู่เคียงข้างเขาและดูแลเขาให้ดีที่สุดค่ะ"
"ดีแล้วจ้า ชีวิตคู่มันต้องอดทนนะ จะลำบาก จะเหนื่อยจะท้อแค่ไหน ก็ขอให้อดทน ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปหมด จำเอาไว้นะ อุปสรรคมีให้เราต้องฝ่าฟันต่อไป จำคำสอนของพ่อได้ไหม"
"ได้ค่ะ จำได้อยู่แล้ว ว่าแต่พี่กันต์เถอะ ชีวิตของพี่และครอบครัวมีความสุขดีไหม"
"พี่ก็เรื่อย ๆ แหละ มีสุขทุกข์บ้างปะปนกันไป ไม่ห่วงพี่หรอกนะ พี่ชินเสียแล้ว"
ปณัฐดาพยักหน้า น้ำตาเอ่อเบ้าทุกครั้งที่ได้คุยกับพี่สาว ความห่วงใยยังมีให้พี่น้องเสมอ และทุกครั้งที่คุยเกี่ยวกับพ่อ หญิงสาวร้องไห้ตลอด ในชีวิตนี้มีหรือที่เธอจะลืมคำสอนของพ่อไปได้ แม้จะตายไปจากโลกนี้ ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับพ่อ ยังอยู่ในความทรงจำของเธอตลอด
"ณัฐจำได้ค่ะ และณัฐก็ยังจำได้ว่า มีครั้งหนึ่งที่ณัฐเคยบอกพ่อว่า ณัฐจะขอมนต์เสน่ห์ของพ่อไปใส่ฝรั่ง ณัฐจะแต่งงานกับฝรั่ง จะได้มีเงินมาดูแลรักษาพ่อ"

ปณัฐดาไม่เคยลืมเรื่องราวเก่า ๆ เมื่อครั้งยังวัยรุ่นเลย หญิงสาวจำได้ว่าเมื่อตอนที่เธออายุสิบหกปี พ่อเคยขอร้องไม่ให้เธอเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่เธอก็ยังอยากจะไปทำงานที่กรุงเทพอยู่ดี เพราะหวังจะเก็บเงินเก็บทองสร้างฐานะและดูแลพ่อให้ดีที่สุด และช่วงนั้นพ่อมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดี ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น มีอยู่วันหนึ่งขณะที่พ่อเดินมาส่งเธอขึ้นรถโดยสารกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ปณัฐดายกมือไหว้พ่อ โดยที่พ่อโอบกอดเธอเอาไว้พร้อมคำบอกสอนหลายอย่าง
"ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก เป็นคนดีทั้งกายและใจ ทำตัวให้สะอาดสะอ้าน"
ปณัฐดายิ้มทั้งน้ำตาทุกครั้งที่ต้องจากพ่อ "พ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ณัฐจะดูแลตัวเองให้ดี"
"ดีแล้วลูก ขยันทำงาน อย่าเป็นคนขี้เกียจ เรียนให้จบ และกลับมาอยู่บ้านนอกกับพ่อนะ"
"คะพ่อ"
ขณะที่ยืนคุยกับพ่ออยู่นั้น รถเก๋งคันงามขับผ่านพอดี ปณัฐดาและพ่อหันไปมองหญิงสาวคนหนึ่งกับสามีชาวต่างชาติซึ่งนั่งอยู่ด้านในรถ เธอหันไปยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น ซึ่งรู้ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นคนในหมู่บ้านถัดไปที่แต่งงานกับสามีต่างชาติและมีชีวิตที่ดีหลายอย่าง ปณัฐดามองเห็นภาพความพร้อมและความสุขของผู้หญิงคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันมาคุยกับพ่อ
"พ่อค่ะ กลับกรุงเทพฯ คราวนี้ ณัฐขอมนต์เสน่ห์จากพ่อได้ไหม ณัฐจะเอาไว้ใส่ฝรั่ง ณัฐจะแต่งงานกับฝรั่ง จะได้มีเงินมีทองไว้เลี้ยงดูพ่ออย่างพี่คนนั้น พ่อจะได้ไม่ลำบากยังไงคะ ณัฐอยากให้พ่อสบาย" วันนั้นปณัฐดาพูดติดตลกเชิงหยอกเล่นกับพ่อ เธออมยิ้มอยู่ตลอด เพราะอยากรู้ว่าพ่อรู้สึกอย่างไร และคำพูดที่เธอพูดออกไปนั้น เธอไม่ได้รู้สึกหรือคิดจริงจังอะไรเลย
พ่อมองหน้าปณัฐดาและก็ยิ้มเศร้า ๆ "อย่าไปคิดเรื่องนั้นเลยลูก หนูไม่ต้องไปคิดเรื่องแบบนั้นอีกเลย กลับไปทำงานและทำหน้าที่ของหนูให้ดีที่สุด หนูจะแต่งงานกับใครก็ได้ พ่อไม่ว่า ขอให้หนูแต่งงานกับคนที่หนูรักและรักหนูให้มากที่สุดนะลูก ขอให้หนูเลือกคนที่ดีที่สุดที่อยู่เคียงข้างหนูได้ คนที่รักหนูจริง ๆ"
ปณัฐดาไม่รู้สึกเสียใจเลยที่วันนั้นพ่อไม่ได้สนับสนุนให้เธอแต่งงานกับฝรั่ง หากแต่พ่อสนับสนุนให้เธอได้แต่งงานกับคนที่เธอรักและรักเธอมากที่สุด หญิงสาวพยักหน้ารับคำพ่ออย่างตั้งใจ
"คะพ่อ ณัฐจะแต่งงานกับคนที่ณัฐรักและรักณัฐมากที่สุด ณัฐจะแต่งงานกับผู้ชายดีที่สุด และที่สำคัญผู้ชายคนนั้นจะต้องดีเหมือนพ่อด้วย"
"ดีมากลูก ผู้ชายดี ๆ ไม่ใช่จะหาง่าย ๆ แต่หนูก็ตั้งสติเลือกคนที่ดีที่สุดนะ"
"ค่ะ"
นับตั้งแต่ที่ได้ยินพ่อบอกสอนในวันนั้น เรื่องการแต่งงานกับชาวต่างชาติที่ปณัฐดาเคยพูดหยอกเล่นกับพ่อก็เป็นเรื่องที่พูดเล่น ๆ และทุกอย่างก็ผ่านไปกับสายลม ปณัฐดาไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้อีกเลย ชีวิตของเธอก็เหมือนผู้หญิงไทยทั่วไป ที่เติบโตมาจากบ้านนา เข้าไปทำงานในเมืองกรุงเพื่อหวังสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริง และก็หวังว่าสักวันหนึ่งคงได้แต่งงานกับผู้ชายไทยที่ดีที่สุด อย่างที่เธอใฝ่ฝันเอาไว้





"ต่อไปนี้ณัฐก็จะเป็นภรรยาของรอยคีนส์ที่ถูกต้องตามกฏหมาย จงรักและดูแลเขาให้ดีที่สุด เราเป็นผู้หญิง เป็นช้างเท้าหลังที่คอยสนับสนุนสามีทุกอย่าง จงเป็นผู้หญิงที่เสียสละและเข้าใจคนที่เรารักให้มากที่สุด อย่าเป็นคนขี้งอนและขี้น้อยใจ คิดอะไรแบบผู้ใหญ่และหนักแน่น พรุ่งนี้น้องสาวของพี่จะไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พี่เคยเห็นแล้วนะ ณัฐกำลังจะเป็นนางอย่างที่พี่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ณัฐมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ จำไว้นะน้อง อย่าท้อแท้เด็ดขาด ชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากอะไรกับการที่ต้องใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก ณัฐจงเรียนรู้สิ่งที่มีความสุขที่สุด และสิ่งที่ต้องต่อสู้เคียงข้างกันเพื่อแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุด พี่จะคอยกำลังใจให้น้องเสมอนะ เมื่อใดที่ณัฐไม่มีความสุข รู้สึกว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ พี่ขอให้ณัฐกลับมาเมืองไทยนะ พี่น้องทุกคนยังรักและคอยน้องเสมอ จำเอาไว้นะ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ไกลกัน แต่ณัฐไม่ได้อยู่คนเดียวนะน้อง ณัฐยังมีพี่และพี่น้องทุกคนนะ" กันต์ฐิตาบอกสอนปณัฐดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ปณัฐดารับรู้ถึงความห่วงใยที่พี่สาวมีให้
"ขอบคุณมากคะพี่กันต์ ณัฐจะจำคำสอนของพี่ให้ดีที่สุดค่ะ"
"ดีมากจ้า ว่าแต่พรุ่งนี้ใครเป็นคนส่งตัวเจ้าสาวล่ะ" กันต์ฐิตาถามขึ้น
"พ่อเลี้ยงของรอยคีนส์ค่ะ ท่านจะเป็นคนส่งตัวเจ้าสาว"
"ฝากขอบคุณไปให้ท่านด้วยนะ พี่เองก็ต้องขอโทษครอบครัวรอยคีนส์ด้วย ที่พี่และพี่น้องคนอื่น ๆ ไม่สามารถไปร่วมงานได้"
"ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้คุยกับพี่กันต์ แค่นี้ณัฐก็มีความสุขมากพอแล้วค่ะ"
"เสร็จงานแต่งแล้ว อย่าลืมส่งรูปมาให้พี่ดูบ้างนะ พี่จะรอ แล้วพี่จะส่งของขวัญไปให้นะ"
"ค่ะ ณัฐไม่ลืมหรอกค่ะ"
"ดีมากจ้า พรุ่งนี้พี่จะไปตักบาตร จะอธิฐานให้ดวงวิญญาณของพ่อและแม่รับรู้ทุกอย่าง ท่านทั้งสองจะได้ตามไปปกป้องรักษาคุ้มครองณัฐกับรอยคีนส์ด้วย"
"ขอบคุณคะพี่กันต์ พี่เองก็รักษาสุขภาพด้วยนะ อย่าทำงานหนักเสียล่ะ ณัฐคิดถึงพี่นะ"
"พี่ก็คิดถึงเราเช่นกันจ้า"

หลังจากที่วางสายจากพี่สาว ปณัฐดาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หญิงสาวพยายามทำใจให้กล้าแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมกับการเป็นภรรยาของรอยคีนส์ ไม่ใช่แค่ภรรยาทางพฤตินัยเท่านั้น หากแต่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายและสังคมรับรู้ ไม่เพียงเท่านั้นปณัฐดายังคงเตรียมใจรับกับสภาพชีวิตสะใภ้ในครั้งนี้ด้วย หญิงสาวไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าการเป็นสะใภ้ต่างแดนกับสะใภ้คนไทยต่างกันอย่างไร เธอรู้แต่ว่าในวันนี้และจากนี้ต่อไป เธอจะทำเพื่อคนรักให้มากที่สุด จะให้สิ่งดี ๆ แก่เขาและพร้อมที่จะเสียสละความสุขทุกอย่างของตัวเอง เพื่อให้คนที่เธอรักได้มีความสุขและก้าวหน้าในสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน