หากชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน
หนทางทุกอย่างก็คงจะลงเอยด้วยดี
แต่ชีวิตคู่ในความเป็นจริงนั้น
มักจะมีเรื่องครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
หลายอย่างจึงเกิดขึ้นทั้งหมด...บนถนนชีวิตผู้หญิงไทยคนหนึ่ง
.jpg)
บทชีวิตสะใภ้ที่ 14
บรรยากาศภายในบ้านเอริณเต็มไปด้วยความไออุ่นจากเพื่อนรักทุกคน เพื่อนสนิทของรอยคีนส์ที่เคยเรียนด้วยกันต่างก็พากันนำอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ มาสมทบในงานเลี้ยงด้วย ปณัฐดามีโอกาสได้พบและคุยกับเพื่อนสนิทของรอยคีนส์ทุกคน การต้อนรับที่เป็นกันเองและเต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพดี ๆ ที่มอบให้กัน ทำให้ปณัฐดาคลายความคิดถึงบ้านได้บ้าง
รอยคีนส์เอาเหล้าแสงโสมให้เพื่อนสนิทได้ดื่มกันทุกคน และก็มอบของฝากที่ซื้อมาจากเมืองไทยให้กับเพื่อน ๆ ด้วย ซึ่งเพื่อนทุกคนดูพึงพอใจและมีความสุขไม่น้อยที่ได้รับของฝากจากเมืองไทยพร้อมกับได้ดื่มเหล้าไทยอย่างแท้จริง แต่ละคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากมีโอกาสจะพากันไปเที่ยวเมืองไทยให้ได้ ปณัฐดาได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิทของคนรักก็ได้แต่ยิ้มอย่างสุขใจ
งานเลี้ยงในตอนกลางคืนจบลงประมาณตีหนึ่ง ปณัฐดาเข้านอนพร้อมกับรอยคีนส์ โดยที่เอริณและแดเนียลก็กลับเข้าห้องนอนพร้อม ๆ กัน ส่วนเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน คืนนี้อากาศที่เมืองนิวออร์ลีนส์กำลังดี ไม่ร้อนและหนาวจนเกินไป ไอเย็นจากแอร์ภายในบ้านทำให้ปณัฐดาต้องนอนห่มผ้าตลอด รอยคีนส์ยังเป็นผู้ชายที่น่ารักและคอยปกป้องดูแลเธอเป็นอย่างดี เขากอดเธอไว้แน่นและคอยลูบผมเบา ๆ เพื่อให้เธอหลับสบาย จุดตรงนี้ทำให้ปณัฐดารู้สึกมาตลอดว่า เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด
อากาศในยามเช้ารับอรุณมีลมเย็น ๆ พัดโชยเบา ๆ ให้ชื่นใจ ทั้งปณัฐดาและคนรักพร้อมทั้งเอริณและแดเนียลตื่นนอนกันแต่เช้า เอริณเดินเข้าไปในครัวโดยที่มีปณัฐดาเดินตามหลังมาติด ๆ เธอยืนมองเอริณกำลังจับนั่นจับนี่ตามประสาของเจ้าบ้านที่ดูเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างก็อดไม่ได้ที่จะถาม
"เอริณมีอะไรให้ณัฐช่วยไหม"
เอริณยิ้มให้คนที่ถาม และก็ก้มลงหยิบกาแฟไปด้วย "ไม่มีหรอก พอดีฉันกำลังจะทำกาแฟนะ ว่าแต่เธอดื่มกาแฟไหม"
"ไม่ดื่มจ้า ณัฐดื่มกาแฟไม่เป็น เคยหัดดื่มแต่ไม่ค่อยชอบ เพราะหัวใจเต้นไม่ค่อยปกติ จากนั้นไม่กล้าดื่มอีกเลย" ปณัฐดาตอบพลางยิ้มไปด้วย เมื่อนึกถึงภาพประสบการณ์การดื่มกาแฟครั้งแรก ทำให้เธอเข็ดขยาดมาตลอด
"เอานมอุ่น ๆ ไหม ฉันมีนมอยู่ในตู้เย็นเยอะเลยนะ"
"ไม่เป็นไรจ้า ตอนนี้ณัฐไม่หิวอะไรเลย ขอน้ำเปล่าดีกว่า"
เอริณเป็นเพื่อนที่น่ารักเสมอ เธอเดินไปหยิบแก้วน้ำและรินน้ำใส่แก้วให้ปณัฐดา จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ หญิงสาว ทั้งสองคนนั่งคุยกันตามประสาผู้หญิง เรื่องที่คุยกันส่วนใหญ่ก็เรื่องทั่วไปเสียมากกว่า
เมื่อกาแฟชงเสร็จแล้ว ทั้งรอยคีนส์ เอริณ แดเนียลต่างก็พากันนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะตรงห้องครัวด้วยกัน พอดื่มกาแฟเสร็จทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเอริณก็พาทุกคนขับรถมารับประทานอาหารไทยในเมืองนิวออร์ลีนส์ ปณัฐดาดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก ๆ ที่มีโอกาสได้เห็นคนไทยด้วยกัน เธอยกมือไหว้พนักงานต้อนรับและก็ยิ้มไม่หุบ
"สวัสดีค่ะ คนไทยหรือเปล่าคะ" พนักงานต้อนรับถาม ยิ้มเป็นกันเอง
"ค่ะ คนไทยค่ะ"
"วันนี้กี่ที่นั่งดีคะ"
"สี่ที่นั่งคะพี่" พนักงานต้อนรับปรายตาหันไปทางเอริณและแดเนียล "คุณนี่เอง นึกว่าใคร"
เอริณและแดเนียลกล่าวทักทายตามมารยาท "ฉันบอกคุณแล้วยังไงว่าฉันจะพาเพื่อนคนไทยมารับประทานอาหารที่ร้านคุณ ยังไงก็ช่วยทำอาหารอร่อย ๆ ให้เพื่อนฉันได้ทานด้วยนะ เขาจะได้หายคิดถึงบ้าน"
"ไม่มีปัญหาค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ" พนักงานต้อนรับพาทุกคนมานั่งที่โต๊ะตรงมุมหน้าต่างด้านหน้าของร้าน
จากนั้นก็เอาน้ำและเครื่องดื่มต่าง ๆ มาเสิร์ฟ รอยคีนส์หันมาทางปณัฐดาและจับมือเธอเบา ๆ แววตาของเขาอ่อนโยนและดูอบอุ่นตลอด
"คุณอยากทานอะไรก็สั่งให้เต็มที่นะที่รัก ผมอยากให้คุณได้ทานอาหารอร่อย ๆ รู้สึกว่าเขาจะมีส้มตำและข้าวเหนียวด้วยนะ" รอยคีนส์หันไปถามเพื่อนสนิทเพื่อความแน่ใจ
"ใช่จ้า ที่นี่เขามีส้มตำและข้าวเหนียวด้วยแหละ ฉันชอบมาก ๆ เลย แดเนียลก็ชอบเหมือนกัน" เอริณยืนยันและก็หันไปยิ้มให้แดเนียล
"ผมก็ชอบส้มตำ อร่อยมากๆ เลย" แดเนียลยืนยันเห็นด้วยกับแฟนสาว
อาหารไทยหลายชนิดถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ ทุกคนนั่งรับประทานอาหารและคุยกันสนุกสนาน ปณัฐดาแม้จะหิวอาหารไทยอยู่มาก แต่พอให้ทานจริง ๆ เธอกลับทานได้นิดเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าหญิงสาวปลื้มอกปลื้มใจกับมิตรภาพและสิ่งดี ๆ ที่ได้รับจากคนรักและเพื่อนสนิทของคนรักมากกว่า ทำให้เธออิ่มเอิบใจถึงขนาดไม่ต้องทานอาหารก็ยังได้
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอยคีนส์หยิบเงินมาจ่ายค่าอาหาร แต่ก็ถูกเอริณและแดเนียลปฏิเสธเสียก่อน
"วันนี้ขอเราสองคนเป็นเจ้ามือนะคีนส์ ถือว่าเราสองคนเลี้ยงต้อนรับปณัฐดาแล้วกัน"
"จะดีเหรอเอริณ ค่าอาหารเยอะนะ ให้ผมออกดีกว่า"
"ไม่ต้องเลยนะ นายนะคิดเล็กคิดน้อยไปได้ เพื่อนกันไม่ต้องคิดมากนะ"
"ขอบคุณนายและเอริณมาก ๆ เลย"
ปณัฐดาสบตาเอริณด้วยความซึ้งใจ ไม่คิดว่าเพื่อนคนรักจะมีน้ำใจที่ดีกับตนอย่างนี้
"ขอบคุณเอริณมากนะที่ดีกับณัฐตลอด"
เอริณจับมือปณัฐดาและส่งยิ้มอันอบอุ่นให้ "ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกัน ด้วยความยินดีจ้า"
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทางเอริณและแดเนียลต่างก็พาปณัฐดาและรอยคีนส์ขับรถไปเที่ยวในตัวเมืองนิวออร์ลีนส์ ปณัฐดาได้แต่มองภาพบรรยากาศด้านนอกกระจกรถด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเอริณก็ขับรถมาจอดที่สถานที่แห่งหนึ่ง และก็พาทุกคนเดินข้ามฝั่งไปอีกฝากหนึ่ง
"ที่นี่เขาเรียกเฟร้นควอร์เตอร์ (French Quarter) จ้า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ค่อนข้างขึ้นชื่อของเมืองนิวออร์ลีน โดยเฉพาะเบอร์บินสตรีท (Bourbon Street) นะ นักท่องเที่ยวที่มาที่นิวออร์ลีนส์ต่างก็รู้จักทั้งนั้น เพราะมีร้านอาหารอร่อย ๆ ผับบาร์ที่ค่อนข้างโดดเด่นเรื่องอาหารและดนตรีมาก ๆ" เอริณเล่าอย่างสุขใจ ซึ่งปณัฐดาได้แต่ฟังและมองภาพรอบตัวไปด้วย
เฟร้นควอเตอร์ (French Quarter)ตั้งอยู่ติด ๆ กับแม่น้ำมิสซิปซิปปี้ ซึ่งสามารถมองเห็นภาพบรรยากาศแม่น้ำสายหลักที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี บริเวณรอบ ๆ แม่น้ำสายนี้มีปืนใหญ่สมัยโบราณตั้งประดับไว้ ซึ่งปืนใหญ่เหล่านี้ตั้งไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1812 สมัยที่อเมริกาทำสงครามกับประเทศอังกฤษ ซึ่งในช่วงนั้นผู้คนในรัฐหลุยส์เซียน่า ไม่ว่าจะเป็นคนเคจั่น ชาวนา ชาวสวน อเมริกันอินเดียน โจรสลัด รวมทั้งพวกข้าทาสคนผิวดำต่างก็เข้าร่วมช่วยกองทัพอเมริกันสู้รบกับทหารอังกฤษในครั้งนี้ด้วย
แอนดรู แจ๊คสัน (Andrew Jackson)ซึ่งสมัยนั้นได้รับเลือกให้เป็นนายพลของกองทัพอเมริกันที่นำทีมสู้รบในพื้นที่ทางใต้ โดยที่หลาย ๆ คนรู้จักชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างดี เพราะแอนดรู แจ็คสั้นเป็นนายพลที่มากไปด้วยความสามารถในการสู้รบต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวการรบที่แปลกแนวไปจากกองทหารหน่วยอื่น ๆ เช่น การลักลอบส่งคนอเมริกันอินเดียนและโจรสลัดรวมทั้งประชาชนทุกคนในแถบหลุยซ์เซียน่าเข้าไปฆ่าทหารอังกฤษในช่วงกลางคืน ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การสู้รบที่ค่อนข้างอื้อฉาวโด่งดังของกองทัพ และก็ถูกประนามว่ากองทหารของนายพลแอนดรูไม่มีความเป็นลูกผู้ชายในการสู้รบ ที่มีการลักลอบฆ่าทหารอังกฤษโดยที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
รูปปั้นของนายพลแอนดรู แจ๊คสั้นยังคงตั้งอยู่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งผู้คนในเมืองนี้ต่างก็เคารพนับถือเป็นอย่างมาก หากไม่มีนายพลคนเก่งคนนี้ อเมริกาก็อาจจะไม่ได้มีประเทศที่เป็นของตัวเองทุกวันนี้ และก็คงไม่มีอำนาจและชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้
สภาพบ้านเรือนและตึกสูงชั้นบนถนนเลียบแม่น้ำมิซซิปปี้เต็มไปด้วยร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นร้านเบเกอร์รี่ ร้านอาหาร ร้านขายภาพแกแลรี่ ร้านขายเสื้อผ้าบูติกชั้นนำและร้านอื่น ๆ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ที่ขาดไม่ได้เลยก็ร้านขายของที่ระลึกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนหลุยส์เซียน่าโดยเฉพาะ ปณัฐดาและเพื่อน ๆ พากันเดินชมภาพบรรยากาศอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะภาพรถรางไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนรางเลียบถนนติด ๆ กับแม่น้ำมิสซิปซิปปี้
จากนั้นเอริณก็พาทุกคนเดินเข้าไปนั่งภายในร้านแห่งหนึ่ง คาเฟ่ ดู มอน(Cafe du Monde) เป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ ของเมืองนิวออร์ลีนส์ เมนูที่เป็นที่นิยมของคนที่นี่ก็คือขนมปังบินเยช์ (Beignet)ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ ป๋าท่องโก๋ในเมืองไทย โดยที่มีแป้งน้ำตาลโรยหน้าในการรับประทานแต่ละครั้ง
ปณัฐดาพยายามอ่านชื่อร้านซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เธอออกเสียงไม่ถูก เพราะเป็นภาษาฝรั่งเศส ทำให้ต้องหันไปถามคนรักและเพื่อนสนิท แต่ละคนช่วยสอนวิธีการออกเสียงแบบคนเคจั่นให้เธอ ทำให้หญิงสาวอมยิ้มรับอย่างมีความสุข ซึ่งสภาพภายในร้านเปิดกว้างให้ลูกค้าสามารถรับลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านจากแม่น้ำมิซซิปซิปปี้ได้อย่างสบาย ๆ
ทุกคนสั่งอาหารว่างและขนมมานั่งรับประทานด้วยกัน ภาพนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศที่เดินผ่านไปมาทำให้อดที่จะหันไปมองไม่ได้ เมื่อทานอาหารจนหมดทุกคนก็พากันแวะไปเที่ยวเฟร้นมาร์เก็ต (French Market) ซึ่งเป็นตลาดสดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนักและมีการขายสินค้าที่ค่อนข้างคล้าย ๆ กับตลาดเมืองไทย ปณัฐดาตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อเห็นผักและผลไม้วางขายด้านนอกเหมือนตลาดสดที่เมืองไทย หญิงสาวตื่นตามองรอบ ๆ และปรายยิ้มให้กับทุกคน เสมือนว่าที่ตรงนี้เป็นสถานที่ ๆ เธอคุ้นเคยที่สุด
"คุณอยากได้อะไรก็เลือกเอานะที่รัก ไม่ต้องเกรงใจ" รอยคีนส์หันมาบอกหญิงสาว รอยยิ้มและใบหน้าของชายหนุ่มช่างอบอุ่นยิ่งนัก
"ขอบคุณค่ะ"
ปณัฐดาบอกคนรักก่อนที่จะเดินดูผักและผลไม้ไปพลาง ๆ เธอไม่ได้เลือกซื้ออะไร แต่เพราะชอบภาพบรรยากาศตลาดนัดที่ค่อนข้างเหมือนเมืองไทย ทำให้เธอสุขใจกับการเดินเที่ยวตลาดเสียมากกว่า
พอช่วงบ่ายของวันนั้น เอริณและแดเนียลพาทั้งสองคนขับรถมาเที่ยวที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ทุกคนเดินชมภาพต้นไม้ที่มีอายุเป็นร้อย ๆ ปีในสวนแห่งนี้ ต้นไม้ส่วนมากเป็นต้นโอ๊คที่มีขนาดใหญ่และแผ่กิ่งก้านที่สวยงาม ซึ่งกิ่งก้านบางส่วนสามารถยาวทอดลงมาติดกับพื้นดิน ทำให้สามารถนั่งเล่นได้อย่างสบาย ๆ
ปณัฐดาหลงรักสวนสาธารณะแห่งนี้ เพราะกิ่งไม้ที่แผ่กิ่งก้านอย่างได้ขนาดทำให้เธอนึกถึงภาพตอนเด็ก ๆ หากที่บ้านนาของเธอมีต้นไม้ที่ใหญ่และมีกิ่งขนาดแข็งแรงที่น่าปีนเล่นอย่างนี้ หญิงสาวก็คงจะใช้เวลาอยู่แต่บนต้นไม้เสียมากกว่าที่จะไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ
"เธอชอบที่นี่ไหมปณัฐดา" เอริณถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ชอบจ้า สวยมาก ๆ เลยนะ"
"ฉันดีใจที่เธอชอบ น้อยคนนักที่จะชอบนิวออร์ลีนส์ คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเมืองนี้แคบและน่าอึดอัด"
"แต่ณัฐไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย ณัฐว่าเมืองใหญ่ ๆ ก็แคบเป็นธรรมดา แต่ณัฐชอบนะ ตรงสภาพชีวิตบ้านเรือน ผู้คน ต้นไม้และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังคงมีไว้ให้ชื่นชม เมืองใหญ่ ๆ ส่วนมากจะไม่ค่อยมีหรอก จะมีแตกตึกสมัยใหม่ปลูกตั้งเรียงรายมากกว่า"
"ฉันดีใจที่เธอชอบปณัฐดา" เอริณส่งยิ้มมาให้ปณัฐดาก่อนที่แหงนดูต้นโอ๊คด้านหน้าอย่างคุ้นเคย "ต้นนี้มีอายุเป็นร้อยปีเลยนะ ฉันฝันมาตลอด หากฉันแต่งงาน ฉันจะจัดงานแต่งงานของฉันที่สวนแห่งนี้ บรรยากาศคงจะโรแมนติกมาก ๆ"
"ฉันคิดว่าเธอต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในโลกเลยเอริณ" ปณัฐดาบอก หันไปยิ้มให้เพื่อนสาว
เอริณยิ้มรับ ใบหน้าแดงชมพู "ขอบคุณมากจ๊ะ"
เมื่อพากันขับรถชมวิวรอบ ๆ เมืองนิวออร์ลีนส์เสร็จแล้ว เอริณพาทุกคนขับรถกลับมาบ้าน เพื่อพักผ่อนอีกครั้ง พอช่วงเย็นก็ไปเที่ยวต่อที่บ้านเบก้าและเจอรามี เพราะทั้งสองคนจัดงานเลี้ยงต้อนรับปณัฐดาและรอยคีนส์ไปด้วย งานเลี้ยงที่บ้านเบก้าก็มีเพื่อนสนิทกลุ่มเดิมมาร่วมงาน และอาหารการกินก็เพียบพร้อมไปหมด โดยที่ส่วนใหญ่จะเน้นอาหารที่รับประทานกันอย่างง่าย ๆ เสียมากกว่า
งานเลี้ยงสนุกสนานไม่น้อยไปกว่างานเลี้ยงที่บ้านเอริณ ขณะที่คุยกันอยู่นั้นรอยคีนส์ก็เอ่ยปากขอเอริณและเบคก้าให้ช่วยเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กับปณัฐดา หญิงสาวทั้งสองโผเข้ากอดปณัฐดาด้วยความยินดีและดีใจ
"ยินดีด้วยนะปณัฐดา พวกฉันยินดีเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เธอนะ อะไรที่เธออยากให้พวกฉันช่วย ก็ขอให้บอกนะ ยินดีเสมอ"
"ขอบคุณมากเอริณ ขอบคุณมากนะเบคก้า" ปณัฐดายิ้มสดใส
"ไม่เป็นไรจ้า เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนใช่ไหม"
"ขอบคุณอีกครั้งนะ"
ปณัฐดาและรอยคีนส์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เพื่อนทั้งสองยินดีเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ โดยที่คนรักของเพื่อนทั้งสองคนอาสาเป็นตากล้องคอยบันทึกภาพความทรงจำดี ๆ ในงานแต่งงานด้วย
พอประมาณเที่ยงคืนเอริณและแดเนียลต่างก็พาปณัฐดาและรอยคีนส์ขับรถกลับมาบ้าน ปณัฐดาและรอยคีนส์มีความสุขและประทับใจน้ำใจเพื่อนสนิททุกคน รอยคีนส์ไม่ลืมที่กล่าวขอบคุณเพื่อนสนิททั้งงสองคนที่ยินดีเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ปณัฐดาในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเพื่อนสาวทั้งสองคนต่างก็ตอบรับด้วยความยินดี
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ทุกคนต่างก็พากันกลับมาบ้าน เอริณและแดเนียลพร้อมทั้งปณัฐดาและรอยคีนส์พากันขับรถมาถึงบ้านประมาณตีหนึ่ง พอมาถึงบ้านทุกคนต่างก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอน คืนนี้ปณัฐดาหลับตาลงด้วยความสุขที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากเพื่อนในนิวออร์ลีนส์ พรุ่งนี้ตอนบ่าย ๆ เธอกับรอยคีนส์ต้องขับรถกลับบ้านแล้ว คงจะไม่ได้เห็นเพื่อน ๆ ที่น่ารักอย่างนี้อีกนาน
ในเช้าวันใหม่ปณัฐดาตื่นแต่เช้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยที่รอยคีนส์เองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดกระเป๋าจนเสร็จ จากนั้นก็มานั่งดื่มกาแฟและรับประทานอาหารเช้ากับเอริณและแดเนียล ซึ่งอาหารเช้าที่รับประทานส่วนใหญ่จะเป็นอาหารง่าย ๆ อย่างซีเรียลกับนมสด
เอริณและแดเนียลขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยที่ปณัฐดาและรอยคีนส์เดินมานั่งดูข่าวทางทีวีที่ห้องรับแขก เพียงไม่นานทั้งเอริณและแดเนียลก็อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ และก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็ก ๆ
"เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลยไหม" เอริณถาม
"ก็ดีเหมือนกัน ซื้อของเสร็จแล้วผมจะได้กลับเมืองดีริดเดอร์เลย ป่านนี้แม่คงจะห่วงผมกับปณัฐดาน่าดู"
เอริณพาปณัฐดาและรอยคีนส์พร้อมทั้งแดเนียลมาซื้ออาหารเอเชี่ยนที่ร้านคนเกาหลีใต้ติด ๆ กับถนนใหญ่ใกล้สนามบินของเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งร้านตรงนี้อยู่ทางด้านเหนือของเมืองนิวออร์ลีนส์ ทันทีที่เดินเข้าไปภายในร้าน ปณัฐดาเดินดูสินค้าภายในร้านอย่างละเอียด สายตาของหญิงสาวมองเห็นน้ำพริกนรกแทบจะกลั้นน้ำตาของความดีใจไว้ไม่อยู่ พอไปเห็นครกใบใหญ่ที่ไว้ตำส้มตำอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวเดินไปลูบคลำเสมือนกับว่าได้เห็นสิ่งของมีค่าอย่างนั้นแหละ เธอดีใจเป็นอย่างมากที่ร้านนี้มีครกขาย รอยคีนส์เดินตามหลังมาเห็นใบหน้ายิ้มสดใสของหญิงสาวก็อดดีใจไปด้วย
"ต่อไปคุณจะได้ตำส้มตำทานเอง ไม่ต้องห่วงว่าไม่มีครก คุณอยากได้อะไรเลือกใส่ตะกร้าเลยนะที่รัก ไม่ต้องเกรงใจ เพราะอีกหลายเดือนกว่าเราจะได้มาที่นิวออร์ลีนส์อีก" รอยคีนส์บอก น้ำเสียงอ่อนนุ่ม
ปณัฐดาหันไปยิ้มให้คนรักด้วยความสุขใจ "เลือกได้ทุกอย่างเลยใช่ไหมคะ" หญิงสาวยิ้ม อดที่จะถามย้ำไม่ได้
"ครับ ทุกอย่างที่คุณต้องการเลย"
ปณัฐดายิ้มแป้นทันที "ขอบคุณมากค่ะ"
ในวันนั้นปณัฐดาเลือกซื้อครกและสากมาชุดหนึ่ง และก็เดินไปหยิบอาหารประเภทน้ำพริกใส่ตะกร้าไปด้วย พอเดินผ่านมาเห็นพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว ซอสน้ำมันหอย พริกและอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ใช้ในการปรุงอาหารไทย ที่ขาดไม่ได้เลยก็น้ำพริกไทยที่แสนจะเอร็ดอร่อย หญิงสาวก็หยิบใส่ตะกร้าทั้งหมด โดยที่มีรอยคีนส์คอยช่วยเลือกไปด้วย ส่วนเอริณและแดเนียลก็ช่วยถือตะกร้าไปด้วย
เมื่อจ่ายค่าอาหารเสร็จแล้ว ปณัฐดาก็เอาขนมไทยที่ซื้อจากร้านเอเชี่ยนแบ่งปันให้เอริณและแดเนียลได้รับประทานด้วยกัน จากนั้นก็ยืนคุยกันด้านหน้าร้านก่อนที่จะกอดคอร่ำลาเพื่อนสนิทเพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองดีริดเดอร์ ตลอดระยะเวลาที่เดินทางกลับมาจากเมืองนิวออร์ลีนส์ ปณัฐดานึกถึงใบหน้าที่ใจดีของเอริณและแดเนียลเสมอ คิดถึงใบหน้าของเบก้าและเจอรามีไปด้วย พร้อมทั้งเพื่อน ๆ สนิททุกคนที่มีโอกาสได้รู้จักกันที่เมืองนิวออร์ลีนส์ เธอรู้สึกรักและผูกพันกับเพื่อนเหล่านี้เป็นอย่างมาก แม้จะเจอแค่ไม่นาน แต่เธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เพื่อนเหล่านี้มีให้เธอและรอยคีนส์ตลอด เธอรู้สึกรักและผูกพันกับเพื่อนเหล่านี้เสมือนพี่น้องคนบ้านเดียวกัน
