จุดเริ่มต้นของ...เรือนไทย-เคจั่น (Thai-Cajun House)...เกิดจากความฝันของสองเรา ที่มาจากความผสมผสานในการดำเนินชีวิตของคนสองคน สองวัฒนธรรม สองเชื้อชาติ สองประเพณี และสองแผ่นดิน

ฉันผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตมาจากครอบครัวเล็ก ๆ ในแผ่นดินอีสานใต้ติดเขตชายแดนกัมพูชา มีพี่น้องทั้งหมดหกคนและเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัว ผู้ไม่เคยคิดฝันว่าชีวิตจะผลิกผันต้องเดินทางจากบ้านนาถิ่นทุรกันดาร เพื่อไปอยู่อีกฝากหนึ่งของซีกโลกกับคนที่ตัวเองรัก เพื่อสร้างชีวิตและครอบครัวเคียงคู่กัน
เธอคนที่ฉันรัก หนุ่มอเมริกันที่มีเชื้อสายเคจั่นจากมลรัฐหลุยส์เซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กในครอบครัวหนึ่ง หลังจากที่เรียนจบปริญญาโท เธอคนนี้ก็ได้เดินทางไปทำงานเป็นอาจารย์สอนในประเทศเกาหลีใต้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี และบนเส้นทางนี้ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานและความรู้ในชีวิต โชคชะตาก็ดลบันดาลมาให้เราสองคนได้พบกัน ในช่วงเวลาที่เหมือนถูกฟ้ากำหนดเอาไว้อย่างเหมาะสม งดงาม และสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองกรุง ที่ ๆ ฉันและเธอไม่เคยคาดฝันเอาไว้ ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักสองเรา
ความรักของสองเราเริ่มต้นด้วยรักแรกพบ และกลายเป็นรักข้ามพรมแดน เมื่อชีวิตต้องอยู่คนละประเทศ แม้ว่าระยะทางที่แยกสองเราอยู่ไกลกันมาก แต่ก็ไม่เคยมีสิ่งใดพรากรักของสองเราไปได้ เราสองคนรักกันมาก มีใจที่มั่งคงให้กัน และก็สัญญาว่าจะมีชีวิตและหัวใจเป็นของกันและกัน เมื่อรักก่อเกิดท่ามกลางเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันกับคนรักก็ตกลงปลงใจแต่งงานกันหลังจากที่คนรักหมดสัญญาสอนหนังสือที่ประเทศเกาหลีใต้ เราสองคนย้ายไปอยู่อเมริกาด้วยกัน ชีวิตคู่ของเราสองคนไม่ได้พร้อมไปหมดทุกอย่าง เพราะยังเด็กทั้งคู่ แต่เราก็มีความสุขมาก เราต่อสู้อุปสรรคปัญหาเคียงคู่กันเสมอ สร้างครอบครัวและความฝันไปด้วยกัน คอยยืนเคียงข้างให้กำลังใจกันและกันเสมอมา
หลายปีที่เราแต่งงานกัน ความรักที่มีให้กันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราสองคนยังรักกันเสมอ และยืนเคียงข้างต่อสู้ให้กำลังใจกันและกันไม่เคยห่าง เรามีความฝันเพื่อที่จะสร้างฐานะสร้างครอบครัวที่ดีไปด้วยกัน เมื่อเราทั้งสองเรียนจบมีหน้าที่การงานที่ดีทำ เราทั้งสองก็เริ่มต้นซื้อบ้าน ซื้อรถสร้างความั่นคงให้กับชีวิตที่อเมริกาเอาไว้ให้กันและกัน
ชีวิตที่อเมริกาแม้จะสุขสบายอยู่ดีมีสุขแค่ไหน หากแต่ชีวิตที่เมืองไทยฉันกับคนรักยังไม่ได้สร้างอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทั้งที่สองเราตั้งใจไว้ว่า อีกสิบห้าปีข้างหน้าจะเกษียณและย้ายกลับไปอยู่ที่เมืองไทยบ้านเกิดที่รักของฉันอย่างถาวร แต่เราทั้งสองก็ยังไม่ได้สร้างอะไรไว้เลย และนับวันค่าเงินบาทก็แข็งตัวขึ้นเรื่อย ๆ อะไร ๆ ก็ราคาสูงขึ้นทุกวัน ทำให้ฉันและคนรักคิดว่า หากจะทำอะไรก็ต้องรีบทำให้เร็วที่สุด
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ฉันกับคนรักนอนดูสารคดีท่องเที่ยวเกี่ยวกับเมืองไทย เห็นภาพวิถีชีวิตความงดงามที่หลากหลายแบบ ทำให้เราสองหันมามองหน้ากันด้วยความคิดหลากหลาย มันมีคำถามมากมายที่เรานั่งถามตัวเอง ทุก ๆ ปีที่กลับไปเมืองไทย เราไปเช่าคอนโดราคาแพง ๆ อยู่ในเมืองกรุงเทพฯ แสนสุขสบาย มีอาหารการกินสะดวกสบาย มีสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกทุกอย่าง แต่ทำไมเรารู้สึกว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ ๆ เราจะอยู่ทุกครั้งที่กลับไปเมืองไทย ได้เห็นภาพชีวิตพี่ ๆ ทุกคนมีบ้านเป็นของตัวเอง มีชีวิตสุขสบายตามอัธภาพ แต่ก็ไม่ใช่ชีวิตที่กลับไปเมืองไทยทุกครั้งต้องไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านพี่ ๆ เสมอ ฉันรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นทุกวัน ฉันไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเหมือนสิบปีก่อน ฉันมีครอบครัวแล้ว และก็ควรที่จะมีอะไร ๆ เป็นของตัวเอง สามารถที่ยืนหยัดด้วยตัวเองได้ โดยที่ไม่เป็นภาระให้พี่ ๆ คนใด
หลังจากนั้น ฉันกับคนรักก็เริ่มคุยกันด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องบ้านที่อยากจะมีไว้ที่เมืองไทย ในตอนแรกก็คิดจะซื้อบ้านจัดสรร ในเชียงใหม่หรือไม่ก็ในตัวจังหวัดใหญ่ ๆ ที่เจริญหน่อย อาจจะเป็นอุบลฯ หรือขอนแก่น เพราะไม่ต้องมาเสียเวลานั่งควบคุมงานก่อสร้างทุกอย่าง แต่พอได้ปรึกษากับพี่สาวและพี่น้องคนอื่น ๆ ทุกคนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง พี่น้องทุกคนล้วนแต่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ดินส่วนตรงกลางระหว่างพี่สาวทั้งสองที่ติดถนนใหญ่ในหมู่บ้าน คือที่ดินของฉันที่พ่อมอบให้ก่อนท่านเสียชีวิต ท่านได้กำชับพี่ ๆ ทุกคนให้ช่วยกันดูแลไว้ให้ฉัน ไม่ว่าหลังจากที่พ่อเสียชีวิต จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ยังไงก็ขอพี่น้องทุกคนช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ฉันซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัวได้ปลูกบ้านบนที่ดินที่ท่านมอบไว้ให้
พี่สาวบอกกับฉันว่า เมื่อครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านตั้งความหวังและความฝันไว้เสมอว่า ฉันจะต้องได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน ผู้ชายที่พร้อมจะสร้างฐานะสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ถึงกระนั้นพ่อก็ไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะต้องแต่งงานกับใคร ขอแค่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี จิตใจดี มีความเป็นผู้นำครอบครัว ดูแลลูกสาวของพ่อได้อย่างมีความสุขและอยู่กันจนแก่จนเฒ่าได้ แค่นี้พ่อก็ภาคภูมิใจมากที่สุดแล้ว
และตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้ว่าพ่อหวังดีและอยากเห็นฉันมีชีวิตที่ดีเหมือนพี่สาวคนอื่น ๆ แต่ทั้งนี้พ่อก็ไม่เคยบังคับเรื่องการเลือกชีวิตคู่ของลูก ๆ แต่ละคนเลย พ่อจะให้อิสระในการเลือกชีวิตคู่แก่ลูก ๆ ทุกคนเสมอ และเคารพในการตัดสินใจของลูก ๆ ตลอด

ฉันรักพ่อมากและก็รักความฝันของท่าน เพราะพ่อคือทุกอย่างในชีวิตของฉัน เมื่อนึกถึงคำพูดของท่าน ฉันก็รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรกับชีวิต ในเย็นวันนั้นฉันนั่งคุยกับคนรักหลายอย่าง เราทั้งสองวางแผนชีวิตกันหลายรูปแบบ มีแผนชีวิตที่หนึ่ง แผนชีวิตที่สอง และแผนสำรองไว้รับรองเสมอ
สิบปีที่เราแต่งงานกันมันมีอะไรมากมายที่สองเรามีต่อกัน ไม่ใช่แค่ความรัก ความอบอุ่นและความเอื้ออาทรที่มีให้กันและกันเท่านั้น แต่มันมีอะไรมากมายที่ฉันและคนรักมีต่อกันที่ไม่สามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ เราสองคนมีชีวิตและหัวใจเป็นของกันและกันเสมอ ความผูกพันและความเข้าใจที่เรามีต่อกันอย่างมั่งคง ฉันและคนรักคิดเสมอว่า เราจะต้องสร้างทุกอย่างให้กับตัวเอง ยามแก่เฒ่าจะได้ไม่ละลำบาก แก่ตัวไปก็ไม่ต้องไปทำงานรับจ้างใครเขา เป็นนายของตัวเอง มีที่นาที่ไร่ไว้ทำมาหากิน ปลูกผักปลูกผลไม้ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ตามกำลังที่มี และก็มีเงินเกษียณไว้ใช้จ่ายในแต่ละวัน และเก็บไว้ดูแลตัวเองในกรณีเป็นค่ารักษาพยาบาลยามฉุกเฉิน และที่สำคัญไม่เป็นภาระให้พี่น้องและหลาน ๆ ด้วย
ฉันกับคนรักหันไปมองรอบ ๆ ตัวเอง เราทั้งสองอยากจะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเอง ทั้งชีวิตในอเมริกาและชีวิตที่เมืองไทย อย่างน้อย ๆ หากเรามีความมั่งคงในชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความพร้อม ชีวิตเราก็คงจะไม่ต้องไปไขว่คว้ามาก หากกลับไปเที่ยวเมืองไทยในช่วงปิดเทอมก็อยากจะมีบ้านที่เมืองไทยไว้พักผ่อนสักหลัง บ้านที่เป็นชื่อของเราเอง ไม่ใช่บ้านพ่อ หรือบ้านของพี่ ๆ คนใดคนหนึ่ง
นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก ที่คุณพ่อของฉันได้เก็บรักษาทรัพย์สินไว้อย่างดีมาก ก่อนท่านเสียชีวิต ท่านได้มอบที่ดินบางส่วนให้ฉันและพี่น้องไว้ทำมาหากิน ซึ่งจำนวนที่ดินผืนนี้ก็ถูกแบ่งตามสัดส่วนให้กับพี่น้องทั้งหกคน และทุกคนก็มีเหมือนกันหมด นั่นก็คือ ที่ดินปลูกบ้านในหมู่บ้านซึ่งติดถนนใหญ่คนละแปลง ลูกสาวคนรองได้บ้านหลังใหญ่ที่พ่อเคยอาศัยอยู่ก่อนท่านเสียชีวิต ส่วนคนเล็กได้บ้านหลังเก่าหากแต่ยังได้ที่ดินปลูกบ้านที่ติดถนนใหญ่ด้วย ลูกสาวคนที่สามได้ที่ดินติดถนนใหญ่เช่นกันแต่อยู่ทางทิศใต้สุด ส่วนพี่สาวคนโตและพี่ชายสองคนนั้นก็ได้ที่ข้างหลัง ซึ่งพ่อได้ขอให้สละให้น้อง ๆ ทั้งสามคนได้อยู่ด้านหน้า ซึ่งพี่ทั้งสามคนก็ตกลงใจไม่มีปัญหาใด ๆ แต่ถึงกระนั้นพ่อก็ยังยุติธรรมกับลูกทุกคนเสมอ คนที่ไม่ได้บ้าน พ่อก็ยกไม้เก่า ๆ ที่ท่านซื้อเก็บสะสมไว้หลายสิบปีให้ลูก ๆ ไว้ปลูกบ้านด้วย นอกจากนั้นก็มีที่นา ที่ไร่ ที่ถูกจัดแบ่งให้เท่า ๆ กันตามความเหมาะสมที่ท่านปรารถนา
เมื่อครั้งที่พ่อเสียชีวิต ฉันมีอายุแค่เพียงสิบแปดปีกว่า ๆ ชีวิตไม่เคยสนใจทรัพย์สินในส่วนตรงนี้เลย เพราะมัวแต่ทำงานเก็บเงินเก็บทองรับผิดชอบชีวิตตัวเอง กอปรกับยังเด็กจึงไม่ได้วางแผนชีวิตอะไรมาก ชีวิตในช่วงเวลานั้นล้มลุกคลุกคลานก้าวผิดก้าวพลาดพอสมควร เคยท้อแท้บ่อยครั้ง แต่ก็อดทนต่อสู้เพียงลำพังอย่างเงียบ ๆ ช่วงเวลานั้นยอมรับเลยว่าไม่ได้คิดถึงอนาคตในบั้นปลายเลย เพราะช่วงชีวิตในตอนนั้นไม่เคยฝันอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็มีแต่วันนี้และพรุ่งนี้เท่านั้น หากจะมีความฝันก็คงเป็นแค่ฝันเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่เท่านั้น นั่นก็คือ ฝันอยากทำงานและเก็บเงินส่งตัวเองให้ได้เรียนจบสูง ๆ เพื่อที่จะก้าวไปในหน้าที่การงานที่ดีและมั่งคง และช่วงเวลานั้นก็นับว่าโชคดีที่มีพี่สาวคนหนึ่ง (พี่กันต์ฐิตา) คอยดูแลทรัพย์สินส่วนตรงนี้ไว้ให้ตลอด
จวบจนที่ฉันได้พบกับคนรัก เราสองคนรักกัน และตกลงแต่งงานกัน จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอเมริกา เพราะคนรักจะต้องกลับไปเรียนต่อปริญญาเอกให้จบ ส่วนฉันก็กลับไปเรียนเคียงคู่คนรักเช่นกัน เวลาผ่านไปปีกว่า ๆ ก็ขอคนรักออกมาทำงานหาประสบการณ์ชีวิตไปด้วย ในช่วงเวลานั้นชีวิตคู่สองเรายังไม่ได้มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งเลย เราสองคนยังใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ไม่ได้คิดวางแผนอะไรมากเกี่ยวกับเมืองไทย อาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตที่อยู่ต่างแดนก็มีความสุขดี แต่พอเวลาผ่านไป ได้เห็นภาพผู้หญิงไทยบางคนที่แต่งงานและสามีต้องจากไปทิ้งให้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ และก็หันมามองย้อนภาพชีวิตตัวเองดูบ้าง ฉันรู้สึกว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับคนรัก ฉันจะมีชีวิตอยู่ที่อเมริกาเพื่ออะไร หากไม่ใช่เพราะคนรักและลูก (หากมีลูก) แต่ถ้าไม่มีคนที่ฉันรัก ชีวิตที่ต่างแดนก็ไม่มีความหมายอะไรกับฉันเลย
นับวันที่อายุมากขึ้น ฉันกับคนรักก็เริ่มคิดรอบด้าน เราสองคนตัดสินใจแน่นอนที่ปลูกบ้านที่เมืองไทยบนที่ดินที่พ่อยกให้ โดยฉันยอมจ่ายค่าถมดินให้กับพี่ชายคนรองสามหมื่นบาท และค่าน้ำใจอีกต่างหาก เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาบนที่ดินตรงนั้น ซึ่งพี่ชายคนรองเคยมีปัญหากับฉันเรื่องที่ดินตรงนั้นเมื่อสิบปีก่อน แต่พอฉันยื่นข้อเสนอที่จะเอาที่ดินคืน พี่ชายคนรองก็ยินยอมแต่โดยดี โดยที่พี่สาวสามคนและพี่ชายคนโตเห็นด้วยมาก ๆ
หลังจากที่จัดการปัญหาเรื่องที่ดินเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เริ่มคุยกับพี่สาวคนรองที่ไว้ใจที่สุดเกี่ยวกับเรื่องบ้าน ซึ่งแบบบ้านที่คิดเอาไว้ก็มีหลายแบบมาก โดยในตอนแรกก็จะปลูกบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ในงบไม่เกินหกแสน ยกระดับพื้นสูงขึ้น มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ เพราะบ้านชั้นเดียวเป็นบ้านที่เล็ก ๆ และใช้งบประมาณไม่มากนัก ที่สำคัญบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านหลังแรกที่เมืองไทย ไม่อยากทุ่มทุนมาก เพราะมีแผนที่จะปลูกบ้านหลังที่สองไว้อยู่ในบั้นปลายชีวิตบนที่นาติด ๆ กับหมู่บ้าน เพราะทำเลดี อยู่ติดกับแม่น้ำห้วย ซึ่งคนรักก็เห็นด้วยมาก ๆ
แต่แล้วความคิดเหล่านี้ก็ถูกเปลี่ยนไป เมื่อฉันและคนรักได้เห็นภาพน้ำท่วมเมืองไทยหลายครั้งหลายครา กอปรกับพี่สาวและเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ แนะนำให้ระมัดระวังเรื่องปัญหาน้ำท่วม เพราะเกรงว่าหากเจอปัญหาจะรับมือไม่ไหว แม้ว่าบ้านที่จะปลูกอยู่ในภาคอีสาน แต่ก็ยังมีปัญหาน้ำท่วมอยู่บ้าง หากแต่ไม่มากเหมือนคนภาคกลาง และด้วยความที่กลัวเรื่องปัญหาน้ำท่วม แผนการปลูกบ้านชั้นเดียวจึงถูกตัดไปจากใจ จากนั้นก็เริ่มคุยกับพี่สาวเรื่องบ้านสองชั้น ซึ่งบ้านสองชั้นก็มีหลายแบบมาก ๆ ราคาไม่เกินล้านห้าก็พอจะทำได้แน่นอน และนั่งก็หมายถึงว่า ฉันกับคนรักจะเพิ่มงบประมาณสูงขึ้่น ซึ่งฉันกับคนรักก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะยังไงก็คือบ้านของตัวเอง แม้ว่าเราสองคนจะดูภาพบ้านหลายแบบ แต่ก็น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ชอบบ้านปูนไปเสียหมด


ในระหว่างนั้น ฉันกับคนรักนั่งเลือกดูภาพบ้านที่เมืองไทยทางอินเตอร์เน็ตและทางหนังสือแบบบ้านที่เคยซื้อไว้เมื่อปี 2006 บ้านแต่ละหลังล้วนแต่เป็นบ้านปูน แม้แต่ทรงไทยประยุกต์ก็เป็นบ้านปูน แต่ถ้ามีไม้ก็จะใช้ไม้เทียมเป็นหลัก ไม่มีบ้านในแบบที่ใช้ไม้จริงเลย และแบบก็ค่อนข้างทันสมัย หากจะปลูกก็จะต้องเสียเงินซื้อแบบจากบริษัทที่ออกแบบบ้านนั้น แต่ฉันรู้สึกว่าเงินหลายหมื่นบาทน่าเสียดายที่ต้องไปทุ่มทุนซื้อแบบตรงนั้น และที่สำคัญช่างที่จะทำบ้านให้นั้น ก็เป็นช่างแถวบ้านเป็นหลัก ไม่ใช่ช่างที่มีระดับวิศวกรคอยควบคุมเหมือนบ้านคนอื่น ๆ ฉันเกรงว่าถ้าซื้อแบบมาจะไม่ได้ใช้เสียเปล่า ๆ เพราะช่างแถวบ้านไม่มีใครอ่านแบบวิศกรเป็น แต่ละคนล้วนแต่สร้างบ้านจากประสบการณ์ที่สะสมเท่านั้น
ช่วงระหว่างนั้น ฉันมีโอกาสได้ดูละครเรื่อง "รอยไหม" ย้อนหลังในเวบยูทู้ป ได้เห็นภาพ...คุ้มเจ้าหลวง...ที่เป็นหัวใจสำคัญของละครเรื่องนี้ ก็อดชื่นชมไม่ได้ เพราะคุ้มเจ้าหลวงเป็นบ้านในลักษณะไทยที่ผสมผสานกับแบบยุโรป ทำให้มีความงดงามอยู่มาก ฉันรู้สึกรักและชอบมาก ๆ โดยเฉพาะหลังคาที่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากเรือนไทยทรงอื่น ๆ ซึ่งคนทั่วไปที่รู้จักมักจะเรียกทรงหลังคาแบบนี้ว่า "บ้านหลังคาขนมปังขิง" และในส่วนด้านหน้าที่มีการประยุกต์หลังคาทรงปั้นหยานั้น ก็ทำให้ดูงดงามและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ และเป็นแบบที่ยังไม่เคยมีใครในหมู่บ้านปลูกเลย จะว่าไปแล้วคุ้มเจ้าหลวงในละครเรื่องนี้ก็มีลักษณะคล้ายแบบบ้านในเมืองนิวออร์ลีนส์ ณ มลรัฐหลยุส์เซียน่า ประเทศอเมริกาอยู่มาก จะแตกต่างก็เพียงพวกลายไม้เชิงชายและหลายฉลุ ที่มีการตกแต่งในแบบที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้มากที่สุด
ในหมู่บ้านที่ฉันเติบโตมาผู้คนส่วนใหญ่จะปลูกบ้านเรือนหลังคาทรงจั่วมากกว่า ฉันยอมรับว่าชอบบ้านแบบไทย ๆ ไม่ได้ชอบแบบโมเดิร์นเลย ฉันรู้สึกว่าบ้านที่อยู่ในอเมริกาก็ค่อนข้างจะโมเดิร์น ถ้าหากจะมีบ้านที่เมืองไทย ก็อยากได้บ้านแบบไทย ๆ เอาไว้ ทรงหลังคาอยากให้แตกต่างจากผู้คนในหมู่บ้าน เพราะเป็นความชอบส่วนตัว และก็ยอมรับว่า บ้านเรือนไทยที่มีความผสมผสาน คือความงดงามที่ฉันหลงรัก และที่สำคัญเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทยอย่างเด่นชัด แม้จะมีการประยุกต์ดัดแปลงให้บางส่วนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยทำให้ส่วนโดดเด่นตรงนี้หายไป



ที่สำคัญฉันเองก็ผูกพันกับบ้านแบบไทย ๆ มากกว่า จะว่าเป็นบ้านในฝันก็ว่าได้ และในวันนั้นฉันก็ได้โทรคุยกับพี่สาวและพี่เขยเกี่ยวกับเรื่องบ้าน โดยบอกว่าจะออกแบบบ้านเองทั้งหมด จะวาดภาพแปลนให้พี่สาวและพี่เขยดูว่าต้องการอะไรบ้าง และเลือกทรงหลังคาแบบไหน ซึ่งพี่สาวและพี่เขยก็เห็นด้วย ฉันเองก็เสิร์ทหาข้อมูลบ้านทรงล้านนาที่มีลักษณะหลังคาคล้าย ๆ คุ้มเจ้าหลวง เพียงแต่ในแบบที่ไม่ใหญ่เกินไป แต่ดูดีและเหมาะสมกับครอบครัวเล็ก ๆ อย่างฉันและคนรัก
ในช่วงวันหยุดฉันก็ตัดสินใจวาดแบบแปลนบ้านภายในด้วยตัวเอง เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์ แบบชั้นบนเป็นไม้ทั้งหมด ส่วนชั้นล่างเป็นแบบบ้านปูน โดยใช้อิญมอญก่อผนังในชั้นล่าง เพราะอยากให้บ้านแข็งแรง ระเบียงไม้ขอให้เป็นไม้แกะสลักที่เป็นพวกไม้สักแบบทางภาคเหนือ ส่วนที่เหลือก็ให้พี่สาวและพี่เขยช่วยให้คำแนะนำ ซึ่งในแบบก็ได้โดยระบุชัดเจน จะต้องมีหนึ่งห้องน้ำใหญ่ ๆ และมีสี่ห้องนอน ภายในบ้านอยากให้มีฝ้าหลุมทั้งที่เป็นฝ้าไม้ระแนงด้วย และบริเวณฝ้าด้านนอกขอเป็นไม้ระแนงทั้งหมด ยิ่งเล่นลวดลายได้ยิ่งดี ส่วนด้านในจะเป็นแบบไหนก็ได้ที่ว่าสวยในสายตาของพี่สาวและพี่เขย สำหรับหลังคาบ้าน ฉันก็เลือกแบบที่ฉันชอบส่งไปให้พี่สาวและพี่เขยดู โดยถามว่ามีช่างแถวบ้านทำได้ไหม พี่สาวและพี่เขยตกลงทันที รีบปริ้นภาพแบบความฝันของน้องสาวคนนี้ไปเก็บไว้ในไฟล์ เพื่อจะได้เตรียมหาช่างและสั่งซื้อไม้ไว้แต่เนิ่น ๆ
แบบบ้านชั้นบนและชั้นล่าง แบบหลังคาบ้านด้านในตัวบ้านจะเป็นทรงปั้นหยา ด้านหน้าระเบียงและห้องนอนด้านหลังทรงหลังคาผสมจั่วและปั้นหยา ส่วนจุดที่เป็นห้องครัวแบบไหนก็ได้ ให้พี่เขยและช่างเป็นคนตัดสินใจทำให้ เสาบ้านทั้งหมดจะต้องมี 18 ต้น แต่จุดที่เป็นห้องครัวและห้องโถงด้านหลังไม่มีเสายาวขึ้นไปชั้นสอง เพราะห้องครัวให้ช่างทำสโลบหลังคาแบบง่าย ๆ

ขอยกเครดิตภาพบ้านให้แก่เจ้าของบ้านในภาพนี้ค่ะ ขอบคุณภาพบ้านทางเน็ตที่ทำให้ได้ใช้เป็นแบบโครงหลังคาบ้านของดิฉันและแฟนค่ะ

พี่น้องทุกคนได้ทราบว่าฉันจะปลูกบ้านก็ดีใจ แต่ก็มีติงว่าทำไมไม่สร้างห้องน้ำชั้นบน ฉันบอกกับทุกคนว่า ฉันกับคนรักไม่ได้ไปอยู่เมืองไทยถาวร จะได้กลับเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น และอีกอย่างการสร้างห้องน้ำในชั้นบนนั้น ฉันมีแผนจะสร้างในช่วงเวลาที่ฉันได้กลับมาอยู่เมืองไทยถาวรจริง ๆ เพราะฉันอยากเลือกและตกแต่งห้องน้ำตามแบบที่ชอบด้วยตัวเอง ได้เลือกสีกระเบื้องและเครื่องสุขภัณฑ์ทุกอย่างเอง จะเอาอ่างอาบน้ำในตัว หรืออ่างน้ำวนหรืออะไรก็ตามแต่ ฉันอยากมีโอกาสได้เลือกด้วยตัวเอง อยากเห็นภาพนั้นจริง ๆ และคนรักมีส่วนตรงนี้ด้วย ซึ่งพี่น้องทุกคนต่างก็เข้าใจเหตุผลทั้งหมด
หลังจากที่ได้แบบบ้านแล้ว ฉันก็ให้พี่สาวและพี่เขยสอบถามช่างแถวบ้าน ซึ่งน้าเขยที่เคยเป็นช่างทำบ้านก็ได้ให้คำปรึกษาที่ดีมาก โดยให้คำแนะนำพี่สาวและพี่เขยไปหาช่างแถวบ้านซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ กัน เพราะช่างคนนี้รับสร้างบ้านอยู่ คิดว่าเขาน่าจะทำได้ ในตอนแรกพี่สาวไปหาช่างคนนี้ เขาดูแบบบ้านและช่วยคำนวณเรื่องไม้ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ให้ทั้งหมด โดยระบุค่าจ้างคร่าว ๆ ประมาณสองแสนห้าหมื่นบาท ซึ่งฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ช่างคนนี้ไม่ได้ตกลงอะไรในวันนั้น เพราะบอกว่าจะคุยกับลูกทีมเสียก่อน แล้วจะตกลงเรื่องตัวเลขค่ารับเหมาอีกที โดยที่ได้นัดพี่สาวและพี่เขยเอาไว้วันหลัง
พอถึงวันนัดพี่สาวกับพี่เขยไปหาช่างคนนี้อีก ลูกทีมทุกคนเห็นแย้งกับหัวหน้าช่าง เพราะทุกคนรู้ว่าบ้านหลังนี้พี่สาวและพี่เขยปลูกให้ฉันและคนรัก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ทำบ้านให้เมียฝรั่ง ก็ต้องแพงหน่อย" โดยที่เรียกเฉพาะค่าแรงทั้งหมดสี่แสนห้า พี่สาวและพี่เขยรู้สึกอึ้งเมื่อได้ยิน ต่างก็พูดอะไรไม่ออก เพราะไม่คิดว่าค่าช่างจะแพงขนาดนี้ ทุกคนกดราคาค่าช่าง เพราะเหตุผลที่คนรักของฉันเป็นชาวต่างชาตินี่เอง
พี่สาวและพี่เขยรู้สึกผิดหวังและเสียใจอยู่มาก และก็รู้ว่าฉันจะต้องเสียใจและเสียความรู้สึกให้กับคนเหล่านี้อยู่ไม่น้อย จีงปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจกัน โดยบอกว่าไม่สามารถสู้ราคาค่าช่างได้ จากนั้นพี่สาวก็โทรมาเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันรู้สึกเจ็บปวดในใจจี๊ด ๆ เพราะไม่คิดว่าคนบ้านเดียวกันก็เป็นแบบนี้ เห็นใครแต่งงานกับชาวต่างชาติไม่ได้ เวลาจะติดต่อว่าจ้างอะไร ก็มักจะกดราคาเสมอ ไม่ว่าจะซื้อของอะไรก็ตาม ทำให้ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตคนเหล่านี้ แต่พี่สาวและพี่เขยก็ปลอบโยนและคอยให้กำลังใจ พร้อมทั้งให้สัญญาว่าจะหาช่างดี ๆ มาทำบ้านให้ได้แน่นอน ฉันกับคนรักอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะก็เชื่อมั่นและเชื่อใจในฝีมือพี่สาวและพี่เขยเสมอ
ช่วงระหว่างนั้นพี่สาวและพี่เขยต่างก็ขับรถตระเวนหาช่างปลูกบ้านทั่วทั้งตำบล อำเภอและเข้าไปถามช่างที่ปลูกบ้านแต่ละหลังตลอด ช่างบางคนก็ปฏิเสธไม่กล้ารับงาน เพราะคิดว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ เกรงว่าจะทำไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ บางคนก็เรียกค่าช่างสูง ๆ เพื่อไม่ให้เราสู้ราคา เพราะฝีมือช่างไม่ถึงแต่ไม่อยากบอกกับเราตรง ๆ เนื่องมาจากกลัวเสียฟอร์ม จึงใช้วิธีตอบไม่รับแบบมีลูกเล่นในแบบของตัวเอง บางคนก็ไม่รับปากแต่ก็มีวิธีบอกรับไม่ปฏิเสธที่ให้ความหวังแบบลอย ๆ อย่างไม่มีกำหนด เพราะไม่อยากให้ทีมช่างคนอื่น ๆ ได้งานไป อันเนื่องมาจากรู้ว่า ค่าจ้างปลูกบ้านหลังนี้ราคาไม่น่าจะต่ำกว่าสามแสน หลาย ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้่น ทำให้พี่สาวและพี่เขยเหนื่อยที่ต้องขับรถตระเวนหาช่างอยู่มาก ไหนจะต้องรับมือกับลูกเล่นของช่างแต่ละคนอีก
นับว่าโชคดีอยู่มาก เพราะญาติห่าง ๆ ที่อยู่อีกตำบลหนึ่งเป็นช่างทำบ้านให้กับครอบครัวคนหนึ่ง ในวันถัดมาพี่เขยได้พาพี่สาวแวะไปถาม เผื่อเขาจะรับทำบ้านให้ฉันและคนรัก พี่เขยและพี่สาวเอาภาพแบบบ้านไปให้ช่างดู ญาติคนนี้เห็นแบบแล้วก็เงยหน้ามองหน้าพี่เขยทันที และก็หันไปบอกพี่เขยกับพี่สาวว่า
"บ้านหลังใหญ่มาก หลังคาไม่เหมือนใครเขา คงจะทำยากหน่อย ตัวพี่เองฝีมือไม่ถึงหรอก และไม่มีอุปกรณ์เพียงพอ บวกกับไม่มีลูกทีมที่ดี คงจะทำบ้านหลังนี้ให้ไม่ได้ แต่พี่ก็พอจะแนะนำช่างดี ๆ ให้ได้ เพราะมีช่างคนหนึ่งที่พี่รู้จัก เป็นคนที่ทำงานดีมาก ๆ ผลงานโดดเด่น ประสบการณ์เยอะ ปกติช่างคนนี้ไม่รับงานธรรมดา ๆ นะ"
พี่เขยได้ยินที่ญาติคนนี้พูดก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง รีบถามขึ้นทันที "พี่พาผมไปหาช่างคนนี้ได้ไหมล่ะ"
"ได้ ๆ เดี๋ยวพี่จะพาไปเอง"
เมื่อคุยเสร็จ ญาติคนนี้ก็พาพี่สาวและพี่เขยไปหาช่างคนนี้ทันที ซึ่่งช่างคนนี้มีชื่อว่า "ช่างเชย" เป็นช่างที่รับทำบ้านให้กำนันตำบลละลมอยู่ ช่างเชยและลูกทีมมีประสบการณ์ปลูกบ้านมาหลายสิบปี เพราะเคยไปทำงานก่อสร้างในเมืองกรุงอยู่นาน เคยไปทำบ้านให้คนมีชื่อเสียงหลายคน บ้านผู้คนที่มีระดับในตัวเมืองที่ฉันอยู่ ส่วนใหญ่ก็มีผลงานช่างเชยและลูกทีมอยู่มาก เพราะว่าช่างเชยเป็นช่างที่เก่งและฝีมือดีมาก ๆ บวกกับเป็นช่างที่มีความขยันทำงาน ซื่อสัตย์ และค่อนข้างนอบน้อม แม้จะพูดเก่งดูเหมือนจะเป็นคนที่โอ้อวดในฝีมือสำหรับคนที่ไม่รู้จักช่างเชย แต่ช่างเชยเป็นคนที่พูดแล้วทำได้เหมือนปากที่พูดจริง ๆ ไม่ได้โม้อย่างที่พูดแต่ผลงานเป็นที่ยอมรับของคนในละแวกนั้น
เมื่อญาติคนนี้แนะนำให้พี่สาวและพี่เขยได้รู้จักกับช่างเชยและลูกทีม ช่างเชยก็ขออนุญาตกำนันเจ้าของงานลงมาคุยกับพี่สาวและพี่เขยเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น เพราะช่างเชยบอกว่าจะคุยได้เฉพาะเวลาพักทานข้าวเท่านั้น เวลาทำงานจะไม่มีการมาคุยกันเรื่องนี้ และจะทำงานกันจนถึงเวลาเลิก โดยที่ช่างเชยได้นัดกับพี่เขยกับพี่สาวว่า วันศุกร์ตอนเย็นหลังเลิกงานจะเข้าไปคุยที่บ้านเอง ซึ่งทุกคนก็รับปากอย่างมั่นเหมาะ ทั้งนี้ช่างเชยก็ได้ขออนุญาตกำนัน และก็ชวนให้พี่สาวและพี่เขยเข้าไปดูภายในบ้านของกำนันประจำตำบลละลม ซึ่งเป็นบ้านที่ตกแต่งด้วยไม้ประดู่และไม้สักที่สวยงาม และฝีมือการทำงานค่อนข้างละเอียดแต่โดดเด่นหลายอย่าง ทำให้พี่เขยและพี่สาวพยักหน้าให้กันทันที พร้อมทั้งขอบคุณญาติคนนี้ที่แนะนำให้รู้จักกับช่างเชย
ทุกครั้งที่พี่สาวและพี่เขยไปหาช่างมาทำบ้านให้ พี่สาวกับพี่เขยก็แอบอ้างว่าเป็นบ้านของตัวเองเสมอ เพราะฉันกำชับกับพี่สาวเองว่า ห้ามบอกใคร ๆ ว่าบ้านหลังนี้เป็นของฉันและคนรัก เพราะฉันอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า บ้านที่จะปลูกนี้เป็นของพี่สาวและพี่เขยเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากได้ยินทีมช่างแต่ละคนเรียกค่าแรงที่ไม่ยุติธรรม กดค่าแรงอย่างไม่ปราณี และถือสิทธิ์ิดว่าเป็นบ้านภรรยาฝรั่ง จะคิดราคาสูงแพงอย่างไร ฝรั่งก็ต้องจ่าย แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่า ในบางครั้งคนเราก็มีความรู้สึกเหมือนกันเมื่อถูกเอาเปรียบอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่พูดจาอะไร และทำตัวเงียบ ๆ มาตลอด ก็รู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกอยู่มาก และฉันกับคนรักก็มักจะกำชับกับพี่สาวไว้เสมอว่า
"ใครก็ตามที่เอาเปรียบและไม่เกียรติกัน ก็ไม่ต้องให้งานทำ หากหาช่างที่ดีปลูกบ้านไม่ได้ ก็ยินดีไปจ้างบริษัทรับสร้างบ้านโดยตรงดีกว่า ยอมเสียเงินแพง ๆ แต่สบายใจ และมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องมีคนพูดคำนี้ให้ได้ยินอีก" ซึ่งพี่สาวและพี่เขยก็เห็นด้วยมาก ๆ กับความคิดของฉันและคนรัก
ในตอนเย็นวันนั้นพี่สาวรีบโทรทางไกลข้ามประเทศมาบอกข่าวดีแก่ฉันและคนรักทันที เราสองคนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่พี่สาวพอจะหาช่างได้บ้าง แม้จะยังไม่ได้ตอบตกลงทำสัญญาอะไร แต่ก็พอจะมีความหวังอยู่บ้าง พี่สาวเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบ้านกำนันที่ช่างเชยสร้างอยู่ ทำให้ฉันคิดตามไปด้วย กำนันตำบลละลมเป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะ จึงเป็นธรรมดาที่บ้านเขาจะต้องสวยและโดดเด่นกว่าใคร ๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งฉันก็อดชื่นชมบ้านของกำนันไม่ได้ เพราะตอนเด็ก ๆ เคยนั่งรถโดยสารผ่าน ได้เห็นภาพบ้านที่งดงาม และความมั่งคงทั้งหน้าที่การงานชื่อเสียงที่ดี ก็อดที่จะยินดีด้วยไม่ได้
ฉันบอกกับพี่สาวว่า "บ้านของเนียงกับชิพไม่ต้องสวยเท่ากับบ้านกำนันหรอกนะคะ ขอแค่ช่างสามารถทำบ้านตามแบบที่เนียงชอบได้ แค่นี้เนียงก็ดีใจมาก ๆ แล้ว"
พี่สาวรับปากว่าจะดูแลให้ช่างทำบ้านของฉันให้สวยและมีคุณภาพตามที่ฉันและคนรักต้องการ ฉันเองอดจะขอบคุณพี่สาวและพี่เขยไม่ได้ แม้ว่าในชีวิตนี้จะไม่มีพ่อและแม่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ฉันก็โชคดีที่มีพี่สาวและพี่เขยที่ดีที่คอยดูแลช่วยเหลือมาตลอด
วันศุกร์ตรงกับวันนัดของช่างเชย พี่สาวและพี่เขยก็ตั้งหน้าตั้งตานั่งคอยที่หน้าบ้าน พอประมาณห้าโมงครึ่งช่างเชยและทีมงานมาตามนัดตรงเวลาที่กำหนดไว้ พี่สาวและพี่เขยเชิญช่างเชยและทีมงานเข้ามานั่งภายในบ้าน พี่สาวและพี่เขยได้จัดหาน้ำให้ดื่มตามมารยาท หากการตกลงคุยกันเป็นไปโดยดี อาจจะมีการเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งตบท้ายด้วย
คำถามแรกที่พี่เขยถามก็เรื่องหลังคาบ้าน พี่เขยอยากรู้ว่าช่างเชยและทีมงานสามารถสร้างบ้านหลังคาทรงนี้ได้หรือไม่ และบ้านใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้ระยะเวลากี่เดือน ช่างเชยตอบคำถามได้ชัดเจน โดยบอกว่า หากจะให้ปลูกบ้านหลังนี้ช่วงปลายพฤศจิกายนนั้น ก็คงจะเสร็จภายในเดือนเมษายนแน่นอน เพราะพี่เขยต้องการให้บ้านเสร็จก่อนเดือนพฤษภาคม เผื่อฉันและคนรักกลับช่วงต้นซัมเมอร์ จะได้มีบ้านอยู่เป็นของตัวเอง
ส่วนราคารับเหมานั้น ช่างเชยคิดในราคาตารางเมตรละ 3,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานเดียวกับกรุงเทพฯ โดยที่เจ้าของบ้านเป็นจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ทั้งหมด ไม่ต้องเลี้ยงเหล้าทุก ๆ วันหลังเลิกงานเหมือนทีมช่างคนอื่น ๆ ช่างเชยขอแค่น้ำดื่มในแต่ละวันเท่านั้น ซึ่งช่างเชยและทีมงานจะห่อข้าวกลางวันมาทานกันเอง ซึ่งพี่สาวกับพี่เขยได้ยินคำขอของช่างก็อดชื่นชมไม่ได้ เพราะช่างคนอื่น ๆ ที่เคยไปถามมา ก็มีแต่ข้อแม้ที่ว่าจะต้องเลี้ยงเหล้าทุกเย็นหลังเลิกงาน แต่กับช่างเชยนั้น ไม่มีข้อแม้ใด ๆ มีแต่ขอน้ำดื่มเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เจ้าของบ้านจะซื้อเลี้ยงหรือจะซื้ออะไรให้ทานก็แล้วแต่น้ำใจ อันนี้ช่างเชยและทีมงานไม่คิดอะไรมาก
ในขณะนั้นพี่เขยรีบโทรศัพท์มาบอกรายละเอียดว่าควรจะตกลงไหม ซึ่งฉันก็ตกลงทันที บอกว่ายินดีจ่ายเสมอ ขอให้ทำงานให้ดี แม้จะคิดราคารับเหมาในแบบราคากรุงเทพฯ แต่ถ้าผลงานดีมีความเป็นระดับฝีมือ ฉันกับคนรักยินดีจ่ายเสมอ ซึ่งในวันนั้นพี่เขยและพี่สาวก็ได้นัดแนะวันทำสัญญาสำคัญต่าง ๆ เอาไว้ และช่างเชยก็ได้ให้คำแนะนำต่าง ๆ เพื่อให้พี่สาวและพี่เขยได้เตรียมพร้อมเอาไว้ พอคุยธุระสำคัญเรื่องบ้านเสร็จและได้ตกลงทุกอย่าง พี่สาวและพี่เขยก็ได้จัดซื้อเหล้ายาปลาปิ้งมาเลี้ยงช่างเชยและลูกทีมเพื่อเป็นการขอบคุณ และทุกครั้งที่มีปัญหาอะไร ช่างเชยก็ให้พี่สาวและพี่เขยขับรถมาปรึกษาได้ตลอด โดยที่ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนเรื่องเซ็นต์สัญญานั้น ช่างเชยจะมาเซ็นต์ในวันที่ลงเสาเอก โดยให้พี่สาวและพี่เขยหาฤกษ์ลงเสาเอกให้ได้เสียก่อน และก็จัดเตรียมไม้เอาไว้
หลังจากได้ช่างเรียบร้อยแล้ว พี่สาวพี่เขยก็จัดการหาซื้อไม้สะสมไว้แต่เนิ่น ๆ เราเริ่มหาซื้อไม้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ซึ่งไม้ที่ซื้อไว้ส่วนใหญ่ก็เป็นไม้ประดู่ เป็นหลัก และก็มีไม้ยางบางส่วน สำหรับไม้สักนั้นก็จะใช้ในส่วนตกแต่งภายในและจุดสำคัญ ๆ ในตอนแรกก็ตั้งใจจะมุ้งหลังคาด้วยกระเบื้องซีแพค แต่ช่างเชยไม่แนะนำให้ทำ เพราะเกรงว่าหลังคาจะถล่มลงมา อันเนื่องมาจากโครงสร้างที่สั่งทำไว้นั้น เราทำโครงสร้างจากไม้เนื้อแข็งทั้งหมด ไม่ใช่โครงสร้างเหล็กแต่อย่างใด ยกเว้นเสาชั้นล่างจะเป็นเสาปูน ส่วนอื่น ๆ ก็เป็นไม้หมด ฉันเองก็ไม่ได้ตามใจตัวเองทุกอย่าง แม้จะชอบกระเบื้องมุ้งหลังคาแบบซีแพคอยู่มาก และก็มีช่างบางคนบอกว่า หากโครงสร้างเป็นไม้เนื้อแข็ง ถ้าจะมุ้งหลังคาด้วยกระเบื้องซีแพคก็ทำได้ ไม่มีมีปัญหาอะไร แต่ฉันห่วงเรื่องความปลอดภัยของตนเองและคนที่รักมากกว่า เกรงว่าบ้านจะทรุดลงมา และกลัวว่าเวลาผ่านไปหลายปี โครงสร้างหลังคารับน้ำหนักกระเบื้องไม่ได้ ไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นแก่คนในครอบครัว ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกที่จะทำตามคำแนะนำของช่างเชย
เมื่อพี่สาวและพี่เขยหาซื้อไม้ได้ครบเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาอาจารย์ที่จะทำพิธีปลูกบ้านให้ โดยที่ต้องให้อาจารย์มาดูที่ดินที่บ้านก่อนว่าจะต้องปลูกช่วงเวลาเท่าไร หลุมเสาเอกหลุมแรกขุดจุดไหนก่อน อันใดที่ต้องเตรียม อะไรที่จะต้องทำ ซึ่งก็มีน้าเขยคอยมาช่วยดูและให้คำแนะนำพี่เขยอีกแรง ทำให้ฉันและคนรักอดที่จะขอบคุณพี่เขยและน้าเขยไม่ได้ ทั้งนี้ก็ขอบคุณอาจารย์ที่มาทำพิธีส่องดินให้ด้วย


อาจารย์ที่ทำพิธีปลูกบ้านให้นั้น ต้องการนำวันเดือนปีเกิดของฉันและคนรักเป็นหลัก เพื่อคำนวณตามหลักโหราศาสตร์หาฤกษ์ที่ดีที่สุดในการลงเสาเอก เพราะตามความเชื่อของคนเก่าแก่นั้น การที่ได้ฤกษ์ดีในการปลูกบ้าน อาจจะมีผลพวงหลายอย่างเกิดขึ้น ฤกษ์ดีก็จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น หากได้ฤกษ์ไม่ดี ก็อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างที่ไม่คาดคิด (สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่ฉันและคนรักก็ยังยึดถืออยู่เสมอ) และสิ่งที่อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เริ่มปลูกบ้านหลังนี้่ก็มีให้เห็นเรื่อย ๆ อันดับแรกก็ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าพี่เขยที่ควบคุมดูแลการปลูกบ้านให้นั้นจะเกิดปีเดียวกับฉัน นั่นก็คือปีม้า ส่วนพี่สาวที่คอยดูแลด้านการเงินและบัญชีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการปลูกบ้านหลังนี้ก็เกิดปีเดียวกับคนรัก นั่นก็คือปีหนู เวลาที่ให้อาจารย์เอาวันเดือนปีเกิดมาใช้ในการทำพิธี มีพี่สาวและพี่เขยเป็นตัวแทน ก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่าง ซึ่งฤกษ์ปลูกบ้านได้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2012 นอกนั้นก็ต้องรอช่วงเดือนมีนาคมปีถัดไปจึงจะมีฤกษ์ดี ซึ่งฉันกับคนรักก็ตกลงปลงใจที่จะปลูกบ้านในวันฤกษ์ดีตามที่อาจารย์แนะนำให้
ในช่วงระหว่างนั้นก็มีการถมดินสูงขึ้น เพื่ออยากให้พื้นที่บ้านได้ระดับที่สูงกว่าถนน เพราะบ้านจะได้ดูโดดเด่นไปด้วย หลังจากถมที่แล้ว ก็ทิ้งให้ไม้แห้งเสียก่อน และก็เตรียมพร้อมที่จะปลูกบ้าน และก่อนวันลงเสาเอกหนึ่งเดือน พี่สาวก็จ้างรถไถน้องชายพี่เขยมาช่วยไถปรับพื้นที่บ้านให้เสียก่อน และระหว่างนั้นพี่สาวอีกคนที่บ้านอยู่ทางทิศเหนือก็จัดการตัดต้นมะพร้าวน้ำหอมทิ้ง เพราะต้นมะพร้าวกินพื้นที่มายังที่ดินในส่วนที่จะปลูกบ้าน สำหรับช่างเชยและลูกทีมนั้น เมื่อทำงานให้กับบ้านกำนันเสร็จแล้ว ก็รอทำบ้านให้ฉันและคนรักเท่านั้น และก็ไม่ได้รับงานใครซ้อนอีกเลย แม้จะมีคนติดต่อให้ไปสร้างบ้านให้หลายคน แต่ช่างเชยก็บอกให้รอตามคิวที่รับปากไว้ ไม่มีการรับงานซ้อนสองเป็นอันขาด และตรงนี้ที่ทำให้ฉันและคนรักพร้อมทั้งพี่สาวกับพี่เขยพลอยสบายใจไปด้วย เพราะไม่อยากได้ช่างที่รับงานสองสามที่ แต่ไม่สามารถทำงานให้เราอย่างดีมีคุณภาพและเสร็จตามกำหนดได้ และในช่วงระหว่างที่รอสร้างบ้านให้ฉันและคนรักนั้น ช่างเชยและทีมงานก็พากันกลับไปทำนาเสียก่อน