
วันนี้ผมกับภรรยานั่งมองภาพเครื่องบินบนท้องฟ้าที่ลอยอยู่ไกลแสนไกล ช่วงระหว่างที่เครื่องบินลำนั้นหายลับไปกับก้อนเมฆขนาดใหญ่ ทำให้ผมอดคิดถึงพ่อไม่ได้ พ่อผู้ชายที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของผม เมื่อสมัยเด็ก ๆ ผมไม่เข้าใจทำไมพ่อไม่กล้านั่งเครื่องบิน ทั้งที่ในอดีตพ่อเคยเป็นทหารร่วมรบสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นนักบินเสียด้วย แต่ทำไมพ่อกลับไม่กล้าที่จะนั่งเครื่องบิน เวลาที่ต้องเดินทางไปต่างรัฐ ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้แค่ไหน พ่อมักจะพาผมและแม่เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวเป็นประจำ ผมยอมรับว่าพ่อเป็นผู้ชายที่มีความอดทนสูง เพราะท่านสามารถขับรถได้ในระยะเวลาที่ไกลแสนไกลโดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อเคยผ่านประสบการณ์แย่ ๆ ที่เฉียดตาย ทำให้พ่อไม่กล้านั่งเครื่องบินอีกเลย และความกลัวตรงนี้ทำให้ความอดทนของพ่อเพิ่มมากขึ้น
พ่อเล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่กลับมาจากรบในสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อก็มีปัญหาขัดแย้งกับปู่หลายอย่าง เพราะปู่ต้องการให้พ่อทำงานในฟาร์มและดูแลโรงไม้ที่เมืองทางใต้ของมลรัฐเท็กซัส ในตอนแรกพ่อก็ทำงานให้ปู่ทุกอย่างไม่เคยบ่นสักคำ แต่แปลกปู่ไม่เคยแบ่งปันเงินให้พ่อได้ใช้จ่ายส่วนตัวเลยแม้แต่เหรียญเดียว ปู่เป็นผู้ชายที่มัธยัทถ์มาก ๆ การที่จะใช้จ่ายเงินแต่ละเหรียญจะต้องคิดหน้าคิดหลังตลอด ปู่บอกว่า พ่อทำงานและกินอยู่กับปู่ไม่จำเป็นต้องมีเงินใช้ส่วนตัว ทำให้พ่อน้อยอกน้อยใจเป็นอย่างมาก และด้วยความที่พ่อยังหนุ่มแน่น มีความต้องการหลากหลายตามประสาคนหนุ่ม การที่ต้องมานั่งขอเงินพ่อแม่ใช้แต่ละครั้ง เป็นอะไรที่อึดอัดใจเป็นอย่างมาก และสุดท้ายพ่อก็ไม่อาจจะอดทนต่อกับสภาพชีวิตของตัวเองได้ จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปหางานทำเพียงลำพัง
การตัดสินใจของพ่อทำให้ปู่ไม่พอใจพ่อเป็นอย่างมาก เพราะปู่คาดหวังจะให้พ่ออยู่ช่วยดูแลธุรกิจฟาร์มและโรงไม้แทนตัวเอง ส่วนย่านั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย เพราะปกติย่าจะรักอาสาวมากกว่าพ่ออยู่แล้ว ไม่ว่าพ่อจะไปมีชีวิตแบบไหน ย่าก็ไม่เคยสนใจใยดี ชีวิตของย่ารักลูกสาวมากกว่าลูกชาย ในแต่ละวันย่าจะเดินทางไปเที่ยวตามลำพังกับอาสาวตลอด ไม่ว่าจะเดินทางไปแถบยุโรปหลาย ๆ ประเทศ หรือแถบอเมริกาใต้ ย่าก็เดินทางไปกับลูกสาวเพียงสองคน โดยที่พ่อไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเลยสักครั้ง และก็ต้องทำแต่งานไม่เคยมีวันหยุดแม้แต่วันเดียว
ชีวิตของพ่อเหมือนกับสายน้ำ ที่ไหลไปเรื่อย ๆ มิเคยไหลย้อนกลับ หลังจากที่พ่อออกจากบ้านได้ไม่นาน พ่อก็เดินทางไปทางตะวันตกของอเมริกา และก็ได้งานทำแถว ๆ มลรัฐแคลิฟอเนียร์ พ่อได้งานทำหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นช่างต่อเรือแถวท่าเรือที่เมืองซานฟรานซิสโก ทำงานขุดเจาะน้ำมันในเขตแคลิฟอร์เนีย ซึ่งงานแต่ละแห่งก็ล้วนแต่หนักมากทีเดียว แต่พ่อก็อดทนทำได้ตลอด เพื่อหวังเก็บเงินเก็บทองและเดินทางไปตามความฝันของตัวเอง เมื่อพ่อทำงานได้ประมาณสามปีก็ลาออกจากงานและเดินทางไปค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่ตัวเองชอบ
แน่นอนพ่อเป็นคนที่ชอบเดินทางอยู่ตลอด พ่อมักจะบอกผมว่า การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้โลกชีวิตผู้คนมากขึ้น ซึ่งหลาย ๆ อย่างที่พ่อได้สัมผัสไม่มีสอนในห้องเรียนเสมอไป พ่อเดินทางไปหลายรัฐ หลายเมือง หลายฤดู และก็มีเพื่อนหลายคน แต่สิ่งที่พ่อชอบที่สุดก็คือการขับรถ และนั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้พ่อยึดอาชีพขับรถขนของในอเมริกา
เมื่อสมัยปีคริสตศักราช 1950 อเมริกายังไม่มีบริษัทรับขนของมากนัก พ่อมีรถพ่วงของตัวเองโดยที่พ่อเก็บเงินซื้อสดตอนที่ทำงานเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ในแต่ละครั้งพ่อจะเดินทางไปรับงานจากบริษัทขนส่งโดยตรง และก็ได้ค่าตอบแทนที่ดีพอสมควร เพราะพ่อไม่ต้องแบ่งค่าเช่ารถใด ๆ การมีรถของตัวเองถือว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของพ่อ เมื่อปู่กับย่าทราบข่าวเกี่ยวกับอาชีพที่พ่อทำอยู่ ท่านทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างมาก หาว่าพ่อเป็นลูกที่ใฝ่ต่ำ ลูกที่ไม่รักดี ลูกที่ไม่ทำตามคำสั่งของบิดามารดา ถือว่าเป็นลูกที่ทำให้ปู่กับย่าอับอายต่อคนในสังคมเดียวกัน
พ่อไม่เคยสนใจว่าปู่กับย่าคิดอย่างไร ไม่เคยแคร์กับคำตำหนิของท่านทั้งสอง เพราะพ่อไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ท่านทั้งสอง และก็ไม่เคยแบมือขอเงินปู่กับย่าใช้แม้แต่เหรียญเดียว ไม่ว่าสังคมที่รู้จักจะคิดอย่างไรกับอาชีพคนขับรถ พ่อก็ไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด พ่อมีชีวิตอิสระ มีเงินเก็บของตัวเอง มีชีวิตที่มีความสุข อยากกินอยากเที่ยวอยากเดินทางไปที่ใด ก็ทำได้ตลอด แม้ว่าพ่อจะเป็นคนขับรถขนของ แต่พ่อก็เป็นผู้ชายที่ฉลาด มีไหวพริบ จริงใจ และท่านก็ไม่ได้เป็นคนขับรถธรรมดา ๆ พ่อเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อในมลรัฐเท็กซัสเสียด้วย
บางคนอาจจะมองว่าคนขับรถเป็นคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา แต่สังคมที่พ่อสัมผัสมีหลายแบบ หลายสไตล์และหลาย ๆ คนที่พ่อได้เรียนรู้แตกต่างกันไป พ่อบอกว่า อาชีพขับรถในสมัยนั้นเป็นอาชีพอิสระ เป็นอาชีพที่สบาย เป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องมีคนมาควบคุม หากพอใจงานก็รับทำ หากไม่พอใจก็ปฏิเสธได้ตลอด แถมมีวันหยุดตามความต้องการของตัวเอง และรายได้ก็ดีพอสมควร
พ่อทำงานอาชีพนี้หลายสิบปี จวบจนปู่เสียชีวิต พ่อก็ไปช่วยย่าจัดการธุรกิจต่าง ๆ ให้ลงตัว จากนั้นกลับมาทำงานขับรถเหมือนเดิม และก็ได้พบกับแม่จนแต่งงานกัน พอแม่ตั้งท้องได้สามเดือน พ่อก็เลิกอาชีพนี้และก็ซื้อบ้านหลังหนึ่งติด ๆ กับชายทะเลในเมืองเพ็นซะโคล่า มลรัฐฟลอริด้า
เมื่อผมเกิดและอายุได้ประมาณสี่ปี พ่อก็เปิดร้านอาหารเคจั่นติดชายทะเลในเมืองนี้ ซึ่งร้านอาหารของพ่อและแม่มีลูกค้าเยอะมาก และยิ่งมีลูกค้าเยอะมากพ่อกับแม่ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น และด้วยความที่พ่ออายุมาก สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ตลอด จึงไม่สามารถดูแลร้านอาหารได้ ส่วนแม่ก็ไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ พ่อจึงตัดสินใจขายร้านอาหารทิ้ง และก็เปิดร้านขายพันธุ์ไม้นานาชนิดในเมืองนี้ ซึ่งก็มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนพันธุ์ไม้อยู่เรื่อย โดยที่พ่อกับแม่ช่วยกันดูแลคนละไม้คนมือ
หลังจากที่ปู่เสียชีวิต ทุก ๆ เทศกาลคริสต์มาส ย่ามักจะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ผมและครอบครัวเสมอ เพราะย่าต้องการให้ผมกับพ่อและแม่ไปร่วมฉลองคริสต์มาสกับท่าน ไม่ว่าย่าจะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้สักกี่ครั้ง พ่อก็ไม่เคยพาผมและแม่บินเลยสักครั้ง พ่อบอกแต่ว่า
"ต่อให้มีคนจ้างเป็นล้าน พ่อก็ไม่นั่งเครื่องบินเด็ดขาด"
ในตอนนั้นผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่พ่อยังหนุ่ม ๆ ท่านเคยไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นนักบินของกองทัพ ไฉนในวันนี้พ่อกลับเข็ดกลัวกับการนั่งเครื่องบิน เกิดอะไรขึ้นพ่อกันแน่
"ทำไมพวกเราไม่นั่งเครื่องบินไปเยี่ยมย่าละครับพ่อ ถ้าเรานั่งเครื่องบินคงจะถึงเร็วกว่านี้" ผมถามพ่อ
"พ่อไม่นั่งเครื่องบินหรอก ถ้าลูกกับแม่ไม่อยากเดินทางไปกับพ่อ และจะนั่งเครื่องบินกันจริง ๆ เดี๋ยวพ่อจะพาไปส่งที่สนามบินเอง ส่วนพ่อจะขับรถไปที่บ้านย่าเอง"
"ทำไมละครับพ่อ"
"พ่อไม่นั่งเครื่องบิน มันอันตราย บอกตรง ๆ พ่อก็ไม่อยากให้ลูกและแม่นั่งเครื่องบินเสียด้วย"
เส้นทางจากเมืองเพ็นซะโคล่า มลรัฐฟลอริด้า ไปยังเมือง อมาริลโล่ มลรัฐเท็กซัสใช่จะใกล้ การเดินทางใช้เวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายอาจจะมีการหยุดนอนพักในโรงแรมหนึ่งคืน ผมเคยชินกับการเดินทางที่มีพ่อตลอด หากต้องเดินทางไปไหนที่ไม่มีพ่อร่วมอยู่ด้วย ผมไม่ต้องการเดินทางโดยเด็ดขาด
"ถ้าพ่อไม่นั่งเครื่องบินไปด้วย ผมกับแม่ก็คงไม่ไป และจะนั่งรถไปกับพ่อครับ" ผมบอกพ่อ
วันนั้นพ่อเอื้อมมือมาลูบผมเบา ๆ พ่อยิ้มให้กับความน่ารักของผม รอยยิ้มของพ่ออบอุ่นยิ่งนัก หากแต่แววตาของพ่อช่างดูเศร้าเหลือเกิน เหมือนพ่อกำลังคิดอะไรอยู่ พ่อเล่าให้ผมฟังว่า สาเหตุที่พ่อไม่ยอมนั่งเครื่องบินเนื่องมาจาก
"เมื่อหลายสิบปีก่อน ย่าส่งตั๋วเครื่องบินมาให้พ่อบินไปเยี่ยมที่เมืองอมาริลโล่ และในวันนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวพอดี และก็มีหิมะตกหนักแทบทุกพื้นที่ เครื่องบินส่วนใหญ่ดีเลย์หลายชั่วโมง ช่วงระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่อง พ่อตัดสินใจไปนั่งดื่มเหล้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่บาร์ไม่ไกลจากจุดรอขึ้นเครื่อง ซึ่งผู้ชายคนนี้จะต้องเดินทางไปกับเที่ยวบินเดียวกับพ่อด้วย ในวันนั้นพ่อดื่มเหล้าไปเยอะทีเดียว กว่าเครื่องบินลำที่พ่อจะต้องเดินทางมาจอดเทียบท่าได้ก็ปาไปหลายชั่วโมง พอถึงคราวที่แอร์โฮสเตสเช็คบอร์ดดิ้งพาร์ท ผลปรากฏว่า พ่อกับเพื่อนชายเมาหนัก ทางแอร์โฮสเตสและกัปตันห้ามไม่ให้พ่อและเพื่อนชายขึ้นเครื่อง เพราะเกรงกว่าอาการเมาจะสร้างปัญหาให้กับผู้โดยสารคนอื่น ๆ พ่อกับเพื่อนจึงถูกกักตัวไว้ที่สนามบิน"
"แล้วพ่อกับผู้ชายคนนั้นถูกจับไหมครับ" ผมถามพ่อ
"เปล่าลูก พ่อไม่ได้ถูกจับหรอก เพียงแต่ทางแอร์โฮสเตสและกัปตันไม่ให้ขึ้นเครื่อง พ่อกับเพื่อนไม่รู้จะทำอะไร ไหน ๆ ก็เมาแล้ว ก็เลยพากันไปนั่งกินเหล้าต่อที่บาร์ร้านเดิมอีก ส่วนบาร์เทนเนอร์ก็นิสัยดี ช่วยผสมเครื่องดื่มและพูดคุยให้กำลังใจตลอด มีการแนะนำโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินให้พ่อกับเพื่อนด้วย"
"แล้วยังไงต่อครับ" ผมถามพ่อ
พ่อหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่ง ดึงผมมากอดไว้แน่น หอมหน้าผากผมครั้งหนึ่ง
"ชิพรู้ไหมลูกว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่พ่อกับเพื่อนชายกำลังชนแก้วเหล้า คุยกันสนุกสนานหัวเราะตามประสาคนคุยกันถูกคอ จู่ ๆ บาร์เทนเนอร์ก็เดินมาบอกพ่อว่า 'ถ้าพวกคุณไม่เมาเหล้า ไม่ถูกกักตัวไว้ ป่านนี้พวกคุณตายไปแล้ว' คำพูดของบาร์เทนเนอร์ทำให้พ่อกับเพื่อนชายอึ้งสักพัก พากันมองหน้าบาร์เทนเดอร์สลับไปมา เพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน"
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ผมถามพ่อ
"บาร์เทนเนอร์ชี้ให้พ่อกับเพื่อนชายดูข่าวบนจอทีวีขนาดใหญ่ สายการบินเที่ยวที่พ่อจะต้องบินนั้น เกิดอุบัติเหตุตกท่ามกลางภูเขาสูง ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด ชิพรู้ไหมวันนั้นพ่อทำอะไรไม่ถูกเลย อึ้งอยู่ตลอด พ่อไม่รู้ว่าบุญอะไรที่พ่อทำเอาไว้ ทำให้พ่อรอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น หากวันนั้นพ่อและเพื่อนชายไม่เมา ป่านนี้พ่อก็คงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ และก็คงไม่มีโอกาสได้นั่งเล่าเรื่องนี้ให้ลูกฟัง"
ผมโผเข้าไปกอดพ่อไว้แน่น "ผมดีใจที่พ่อปลอดภัย ดีใจที่พ่อเมาในวันนั้น เพราะถ้าพ่อไม่เมา ผมไม่รู้จะมีวันนี้ไหม และไม่รู้ว่าจะมีพ่อที่ดีแบบนี้ไหม"
ตั้งแต่ที่ผมได้คุยกับพ่อวันนั้น ผมได้เข้าใจพ่อมากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวพ่อ ผมก็ได้รู้ว่าความจริงที่พ่อกลัวกับการนั่งเครื่องบินคืออะไร พ่อไม่ใช่ผู้ชายขี้ขลาด ไม่ใช่ผู้ชายที่ขี้กลัวไปหมด แต่เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พ่อไม่กล้านั่งเครื่องบิน เพราะพ่อกลัวว่า หากเหตุการณ์เหล่านั้นเดินย้อนรอยกลับมาสู่ชีวิตพ่ออีกครั้ง พ่อคงไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลผมเป็นแน่ เพราะพ่อตั้งใจไว้ว่า พ่อจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ดูแลผมจนเติบใหญ่ให้ได้
ณ วันนี้ผมนั่งคิดถึงเรื่องเก่า ๆ หลายอย่างเกี่ยวกับพ่อ พ่อคงไม่รู้หรอกว่า ผมเองก็ชอบการเดินทางไม่ต่างกับพ่อเลย เพียงแต่ผมไม่เคยกลัวกับการนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางไปอีกฟากหนึ่งของโลก พ่อคงไม่เคยรู้ว่าผมเดินทางเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองเหมือนกับที่พ่อเคยทำ และพ่อก็คงไม่รู้ว่า ในการเดินทางของผม ทำให้ผมได้แต่งงานกับผู้หญิงเอเชียที่อยู่ไกลแสนไกล หากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่อจะยอมสลัดความกลัวทั้งหมด เพื่อเดินทางไปเยี่ยมเยียนครอบครัวภรรยาของผมหรือไม่ แต่ผมเชื่อมั่นว่า ความรักที่พ่อมีให้ผมทั้งหมด พ่อไม่เคยกลัวกับความตาย เพื่อแลกกับความสุขของผม พ่อยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น และมีชีวิตที่ดีเหมือนในวันนี้
ผมรักพ่อครับ
ชิพ (พุ้ดดิ้งโจนส์)