
วันนี้ฉันไม่ได้ไปทำงานแต่อย่างใด เพราะได้หยุดสามวันติดต่อกัน อาทิตย์ที่ผ่านมางานของฉันยุ่งมาก แต่ฉันก็ยังทำงานรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งใจเรียนรู้ทุกอย่างที่ผู้จัดการบอกสอน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือประสบการณ์ชีวิตที่ได้สัมผัส
หลายวันที่ผ่านมา ฉันรู้สึกคิดถึงพี่น้องที่เมืองไทยจับใจ คิดถึงอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านมา คิดถึงทุกอย่างที่ตัวเองเคยเป็น ยิ่งได้อ่านข่าวคราวเกี่ยวกับเมืองไทย ฉันก็ยิ่งเป็นห่วงพี่น้องมากขึ้น ในวันนี้ฉันอดไม่ได้ที่จะเขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้ทุก ๆ คนได้อ่าน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ฉันเคยเขียนรวมไว้ในนิยายชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา
ชีวิตของฉันไม่ได้เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ชีวิตของฉันจะไม่มีความสุขแต่อย่างใด ฉันมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ มีครอบครัวที่อบอุ่นไม่น้อยไปกว่าใคร ๆ มีความพึงพอใจกับเส้นทางที่ตัวเองก้าวแต่ละก้าว แม้มันจะแตกต่างกับชีวิตของคนอื่น ๆ แต่นี่แหละคือชีวิตของฉัน และคือชีวิตของหญิงสาวต่างจังหวัดในสังคมที่ฉันเป็นอยู่
ฉันจำเรื่องราวความเจ็บปวดเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จำใบหน้าคนที่ทำให้ฉันร้องไห้ในวันนั้นได้เสมอ ทุกวันนี้ฉันยังเคยคิดเลยว่า หากวันหนึ่งที่มีโอกาสได้กลับไปเมืองไทย ฉันจะพาคนรักไปดูใบหน้าของคนที่เคยดูถูกดูแคลนและเอารัดเอาเปรียบชีวิตคนต่างจังหวัดอย่างฉันให้ได้ ฉันเพียงแค่อยากรู้ว่าคนที่เคยทำให้ฉันเสียใจเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขายังทำร้ายคนอื่น ๆ เหมือนที่เขาทำกับฉันไหม
เหตุการณ์ในวันนั้นมันตอกย้ำชีวิตของฉันหลาย ๆ อย่าง เมื่อครั้งที่ฉันยังวัยรุ่น พี่รองได้บีบบังคับให้ฉันมาพักอยู่ด้วยที่รังสิต เพราะไม่อยากให้ฉันทำงานและพักอยู่กับเพื่อนสนิท (เพ็ญ) พี่รองกลัวว่าฉันจะมีชีวิตคล้าย ๆ กับเพ็ญที่แต่งงานเร็วเกินกว่าวัย พี่รองไม่อยากให้ฉันคบเพ็ญด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่ฉันเองไม่อาจจะรู้ ในวันนั้นฉันไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งของพี่ชายได้ จึงทำตามที่พี่ชายบอกทุกอย่าง ฉันเชื่อว่าพี่รองคงอยากให้น้องสาวอย่างฉันอยู่ในกรอบของการเป็นลูกผู้หญิงที่ดี ที่จะต้องเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของพี่ชายเท่านั้น
พอย้ายมาที่รังสิตได้เพียงไม่กี่วัน พี่รองก็ฝากให้พี่ธนาพาฉันไปทำงานกับครอบครัวคนจีนแถว ๆ จรัญสนิทวงศ์ ซึ่งพี่ธนาเป็นหลานคนโตสุดของพ่อนั่นเอง
“พรุ่งนี้พี่จะให้ธนาพาเราไปทำงานแถว ๆ จรัญสนิทวงศ์ พอดีมีเถ้าแก่คนจีนต้องการคนดูแลงานบ้าน พี่อยากให้ณัฐไปทำงานอย่างนี้ดีกว่าทำงานโรงงาน อีกอย่างงานนี้ธนาฝากให้ คงไม่มีอะไรน่ากลัว”
ในวันนั้นพี่รองอยากให้ฉันทำงานบ้านเหมือนพี่บุหงาพี่สาวคนรองนั่นเอง เพราะการทำงานบ้านนั้นอยู่ติดกับบ้านตลอด ไม่ต้องออกไปสังคมที่ไหน ความปลอดภัยก็คงจะดีกว่าการทำงานโรงงาน
ฉันไม่พูดไม่จาอะไร ไม่ได้ตอบโต้อะไรกับพี่ชาย ช่วงเวลานั้นได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำใจ แม้ว่าใจที่แท้จริงฉันจะไม่อยากทำงานบ้านมากนัก แต่ฉันก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของพี่ชายได้ และก็ได้แต่นึกจินตนาการภาพเจ้าของบ้านที่พี่ชายให้ฉันไปทำงานด้วย เพราะอยากรู้เสียเหลือเกินว่าครอบครัวคนจีนเหล่านี้จะใจดีกับฉันหรือไม่ หรือว่าจะใช้งานฉันสารพัดอย่างเหมือนที่ฉันเคยทำงานกับพี่น้ำหวาน พี่สาวของเพื่อนสนิทของพี่กันต์ที่ฉันเคยไปทำงานอยู่ด้วยหกเดือนกว่า ๆ ประสบการณ์แย่ ๆ ตรงนั้นฉันยังจดจำได้ไม่รู้ลืม ในวันนี้ชีวิตของฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ฉันได้แต่กัดฟันทนเพราะไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน แต่ฉันถูกพี่ชายส่งให้ไปทำงานนี้ ฉันก็ต้องอดทนและตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พี่รองก็พาฉันไปหาพี่ธนาที่ห้องพักในซอยถัดไป ทันทีที่เจอหน้าพี่ธนาฉันก็ยกมือไหว้ตามมารยาท พี่ธนารับไหว้แต่พองาม จากนั้นก็มานั่งคุยธุระกับพี่รองเกี่ยวกับงานที่จะฝากให้ฉันไปทำงาน
“ไอ้ณัฐทำได้แน่นะพี่รอง ถ้ามันทำไม่ได้จะเสียคนฝากนะพี่นะ” พี่ธนาดูเป็นกังวลไม่น้อยกับการที่จะฝากงานให้ฉันทำ
พี่รองพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ทำได้อยู่แล้ว งานหนักกว่านี้มันก็ทำมาแล้ว งานบ้านที่เมืองกรุงคงไม่หนักเหมือนบ้านนอกเราหรอก”
“ถ้าพี่มั่นใจขนาดนี้ ผมก็จะพามันไปฝากให้ในวันพรุ่งนี้แล้วกัน”
ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นไม่มีความดีใจเลยสักนิดที่พี่ธนาจะฝากงานบ้านให้ทำ เพราะไม่รู้ว่าคนที่ฉันต้องไปอยู่ด้วยเป็นอย่างไรบ้าง จะใจดีหรือโหดร้าย ฉันไม่อยากคิดจินตนาการเกี่ยวกับภาพการเป็นคนรับใช้คนมีเงินในเมืองกรุงมากนัก เพราะคิดว่าคงไม่ต่างกับละครในทีวีที่ฉันเคยดู และก็ได้แต่ทำใจยอมรับเส้นทางชีวิตที่พี่ชายขีดไว้ให้ก้าวเดินต่อไป
ค่ำคืนนั้นฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเป็นกังวลหลาย ๆ อย่าง บวกกับที่นอนแคบเพราะต้องนอนเบียดกันสามคนกับมารดาของพี่สะใภ้ ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจใช่น้อย สายลมเย็น ๆ จากพัดลมเพดานทำให้ร่างกายเหน็บหนาวอยู่ตลอด ผ้าห่มผืนเดียวที่ต้องแบ่งกันห่มสามคนใช่จะอุ่น ความรู้สึกในตอนนั้นฉันคิดถึงบ้านมากที่สุด คิดถึงพ่อจับใจ บ้านนอกของฉันแม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองที่ใหญ่โต ไม่ว่าจะฤดูฝน ฤดูร้อน หรือแม้แต่ฤดูหนาว แต่แปลกที่บ้านนอกของฉันกลับอบอุ่นที่สุด และก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างนี้เลย
ราตรีแห่งความเหงาพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันใหม่กับการเผชิญกับเส้นทางชีวิตที่แปลกแยก ที่ ๆ ฉันไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด ที่ ๆ ฉันจะต้องไปอยู่ตามคำสั่งของพี่ชาย แม้ว่าใจจะไม่อยากไปมากนัก แต่ฉันก็ต้องยอมรับที่จะทำ เพราะเมื่อเลือกที่จะอยู่ในเมืองกรุง ฉันก็ต้องทำตามคำสั่งของพี่ชาย
“เงินนี้เก็บไว้ใช้ซื้อของที่จำเป็นนะ” พี่รองหยิบเงินหนึ่งร้อยบาทยื่นให้ก่อนที่จะพาฉันมาส่งที่ห้องพักพี่ธนา
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้กล่าวขอบคุณพี่ชายตามมารยาท แม้ในใจจะรู้สึกเกร็งกับงานที่จะต้องไปเผชิญอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำใจให้เข้มแข็ง จากนั้นก็ยกมือร่ำลาพี่สะใภ้และครอบครัวด้วย
เมื่อรถพี่รองวิ่งมาจอดที่หน้าหอพักพี่ธนา พี่รองก็เดินนำหน้าพาฉันขึ้นมาที่ห้องพักของพี่ธนา โดยที่พี่ธนาแต่งตัวรออยู่แล้ว
“เตรียมใจไว้บ้างหรือเปล่าล่ะเรา” พี่ธนาถามอมยิ้มนิด ๆ เหมือนอยากจะเดาใจฉันให้ได้
ฉันพยักหน้านิดหนึ่ง “ค่ะ” สั้น ๆ แต่ในใจไม่มีใครรู้หรอกว่าแท้จริงฉันรู้สึกอย่างไร
“ดีแล้ว ไปอยู่กับคนจีนถ้าขยันนะ เขารักจะตาย คนจีนถึงจะขี้เหนียวบ้างแต่ใจดีนะ” พี่ธนาพูดไปตามประสบการณ์ที่ตัวเองประสบ
“ยังไงก็ฝากด้วยนะธนา เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานแล้ว” พี่รองฝากฉันไว้กับพี่ธนาด้วยความหวังมากมาย
“ไม่ต้องห่วงพี่รอง ถ้าไอ้ณัฐมันทำงานดี เถ้าแก่ก็คงรักและเอ็นดูมันน่าดู” คำพูดของพี่ธนาทำให้พี่รองหันมามองฉันนิดหนึ่ง
“ตั้งใจทำงานล่ะ ถ้าทำงานไม่ดีหรือเถ้าแก่บ่น พี่จะไปรับและส่งกลับบ้านนอก” คำสอนปนคำขู่ของพี่รอง ทำให้ฉันตระหนักอยู่ในใจฉันตลอด
ฉันยกมือไหว้พี่ชายเป็นการร่ำลา ก่อนที่จะแบกกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตามหลังพี่ธนามาขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย พอมาถึงป้ายรถเมล์พี่ธนาก็หันมากำชับฉัน
“ทางไปจรัญสนิทวงศ์ไกลหน่อย ต้องต่อรถหลายสาย ยังไงก็ทนหน่อยนะ”
ฉันยิ้มที่มุมปากนิด ๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เส้นทางจากรังสิตไปจรัญสนิทวงศ์ช่างไกลเสียเหลือเกิน พี่ธนาพาฉันนั่งรถต่อประมาณสามสายกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง บ้านของเถ้าแก่ที่พี่ธนาพาฉันไปทำงานด้วยนั้น มิใช่บ้านคนรวยที่ใหญ่โตเหมือนคฤหาสน์แต่อย่างใด แต่บ้านหลังนี้กลับเป็นทาวเฮ้าส์สูงสามชั้นที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวในหมู่บ้านเล็ก ๆ
เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน พี่ธนาก็บอกฉันเกี่ยวกับเถ้าแก่ที่จะฝากฉันให้ทำงานด้วย
“เถ้าแก่ผู้หญิงชื่อเจ๊เจี๊ยบ เถ้าแก่ผู้ชายชื่อเฮียเล้ง มีลูกสองคน ลูกสาวคนโตอายุเท่า ๆ เรานี่แหละ ส่วนลูกชายอายุประมาณแปดขวบ ซนใช้ได้ ครอบครัวนี้เขาขายข้าวต้มในช่วงกลางคืนด้วย พี่ว่าเราต้องทำทั้งงานบ้านและทำงานที่ร้านข้าวต้มของเจ๊ด้วย ยังไงก็ทน ๆ หน่อยนะ”
คำบอกเล่าของพี่ธนา ทำให้ฉันนึกถึงงานที่ทำกับพี่น้ำหวานที่ต่างจังหวัดทันที และรู้ได้เลยว่าคงไม่ต่างกันมากนัก
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ค่ะ พี่ธนาไม่ต้องห่วงหรอก”
พี่ธนากดกริ่งรอ สักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนผิวพรรณขาวสะอาดเดินมาเปิดประตูให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่เห็นผู้หญิงคนนี้พี่ธนาก็รีบยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีครับเจ๊ วันนี้ผมเอาหลานมาฝากตามที่ได้คุยเอาไว้” จากนั้นก็หันมาบอกฉัน
“สวัสดีเจ๊สิณัฐ”
ฉันไม่รอช้ายกมือไหว้ตามคำบอกของพี่ธนา “สวัสดีค่ะ”
เจ๊เจี๊ยบยิ้ม รับไหว้หน้าตาชื่นบาน “สวัสดีจ้ะ เข้ามาในบ้านก่อนสิ” จากนั้นก็เชื้อเชิญฉันและพี่ธนาให้มานั่งที่ห้องรับแขก และก็เรียกคนที่อยู่ในบ้านให้เอาน้ำมาเสิร์ฟ
“ติ๋มเอาน้ำมาเสิร์ฟหน่อยสิ” คำสั่งของเจ๊เจี๊ยบทำให้หญิงสาวที่นั่งซักผ้าอยู่ด้านหลังรีบวางมือจากงานที่ทำ และก็เอาน้ำมาเสิร์ฟให้ฉันและพี่ธนาทันที
ฉันกับพี่ธนากล่าวขอบคุณพี่ติ๋มตามมารยาท สักพักเจ๊เจี๊ยบก็เล่าเกี่ยวกับการว่าจ้างในครั้งนี้
“ชื่ออะไรเหรอจ้ะ” เจ๊เจี๊ยบถามเสียงนุ่มตามแบบฉบับคนเมืองกรุง
ฉันเงยหน้ามองคนถามด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว “ชื่อปณัฐดาค่ะ”
"ชื่อเล่นว่าอะไรเหรอเรา"
"ชื่อ ณัฐค่ะ"
เจ๊เจี๊ยบหันไปคุยกับพี่ธนานิดหนึ่ง “ท่าทางจะขยันขันแข็งนะ ดูเรียบร้อยเชียว”
“ครับ น้องเขาขยันครับ อยู่บ้านนอกก็ทำงานทุกอย่างแหละครับ” พี่ธนาตอบรับอย่างผู้รอบรู้เกี่ยวกับชีวิตของฉันทั้งหมด
“ดี ๆ เจ๊ชอบคนขยันทำงาน เจ๊จะให้เงินเดือนหนูเดือนล่ะ 1700 บาทต่อเดือนนะ กินอยู่กับเจ๊หมด แต่งานต้องทำสองที่นะ ตอนเช้าก็ทำงานบ้านช่วยพี่ติ๋ม ส่วนตอนเย็นก็ไปขายข้าวต้มที่ร้านหน้าปากซอย ถ้าร้านยุ่งก็อาจจะกลับดึกหน่อย หนูคิดว่าพอทำได้หรือเปล่าล่ะจ้ะ”
ฉันพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ทำได้ค่ะ”
“ดี ๆ เจ๊ไม่อยากเปลี่ยนเด็กบ่อย เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ เดือนก่อนโน้นเฮียก็รับมาคนหนึ่ง อยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ขอลาออกไปแล้ว เจ๊หวังว่าหนูคงอยู่กับเจ๊นาน ๆ นะ”
เจ๊เจี๊ยบบ่นถึงอดีตคนงานเก่าให้ฉันได้ฟังด้วย ทำให้ฉันคิดตามไปด้วยว่าทำไมคนงานคนนั้นถึงลาออกไปเร็วเสียเหลือเกิน และก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้งานที่ตัวเองกำลังเผชิญเลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้
“ค่ะ” ฉันตอบรับทันที แม้ว่าส่วนลึกในใจจะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน
เจ๊เจี๊ยบหยิบกระเป๋าเงินออกมาห้าร้อยบาทยื่นให้พี่ธนา “ธนาเก็บไว้นะ น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเจ๊และเฮีย”
พี่ธนายกมือรับไหว้ “ขอบคุณมากครับเจ๊ ถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้ก็โทรบอกผมได้นะครับ”
ฉันเพิ่งมารู้ตอนที่ออกมาส่งพี่ธนาที่หน้าบ้านว่า พี่ธนารู้จักกับเจ๊เจี๊ยบและครอบครัวมาก่อน เพราะเคยเอาเฟอร์นิเจอร์จากบริษัทที่ตนทำงานอยู่มาส่งให้ครอบครัวของเจ๊เจี๊ยบที่นี่ ทำให้ได้รู้จักพูดคุยตามประสาคนงาน และก็ช่วยหาคนงานให้เจ๊เจี๊ยบตามที่ได้บอกเอาไว้
“ตั้งใจทำงานล่ะ อย่าทำให้พี่เสียหน้าที่ฝากงานให้ทำล่ะ” พี่ธนาร่ำลาฉันด้วยคำพูดสั้น ๆ ที่เหมือนจะเป็นการย้ำเตือนให้ฉันได้รู้หน้าที่ของตนเอาไว้
“ค่ะ หนูจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด” ฉันตอบรับพี่ธนา เมื่อพี่ธนากลับไป ฉันก็เดินเข้ามาภายในบ้าน
เจ๊เจี๊ยบได้เล่ารายละเอียดเรื่องงานให้ฉันได้ฟังทั้งหมด ในตอนเช้าฉันจะต้องตื่นขึ้นมาช่วยพี่ติ๋มซักผ้า ล้างเครื่องครัวทั้งหมด ทำความสะอาดบ้าน พอสาย ๆ ก็ไปช่วยหั่นผักและเครื่องครัวที่ร้านข้าวต้ม เมื่อเสร็จแล้วตอนบ่ายก็กลับมารีดผ้า ตกเย็นก็อาบน้ำแต่งตัวไปช่วยขายของที่ร้านขายข้าวต้ม หน้าที่ในร้านข้าวต้มของฉันก็คือเสิร์ฟอาหารและก็ล้างจานไปด้วย นอกจากนั้นก็เป็นลูกมือให้กับเฮียสามีเจ๊เจี๊ยบและก็พ่อครัวอีกคนหนึ่ง สารพัดอย่างที่เจ๊บอกว่าฉันจะต้องทำ มิเพียงแค่นั้นเจ๊เจี๊ยบยังได้บอกให้ฉันได้รู้ว่า
“บางคืนถ้าลูกค้าเยอะก็เลิกประมาณตีสองตีสาม อดนอนได้นะเรา” เจ๊เจี๊ยบถามฉันเพื่อความมั่นใจ
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหน แต่ก็ตอบรับว่าทำได้ “ค่ะ” สั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ฉันต้องค้นหาความอดทนของตัวเองในเร็ว ๆ นี้
พอคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว เจ๊เจี๊ยบก็พาฉันขึ้นไปที่ห้องชั้นสอง และก็บอกให้ฉันรู้ว่า ตัวฉันจะต้องนอนพักกับพี่ติ๋ม คนงานซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ๊เจี๊ยบนั่นเอง จากนั้นก็พาฉันลงไปเรียนรู้งานจากพี่ติ๋มที่ด้านล่าง
เมื่อเจอหน้าพี่ติ๋มฉันก็ยกมือไหว้ตามมารยาท พี่ติ๋มส่งยิ้มให้ฉันนิดหนึ่ง
“เด็กใหม่ล่ะเจ๊ คนนี้จะอยู่นานไหมนี่” พี่ติ๋มพูดเชิงหยอกเชิงเล่นกับเจ๊เจี๊ยบก่อนที่จะหยิบกะละมังอีกอันมาเปิดน้ำใส่
“ยังไงก็ฝากสอนงานให้น้องเขาด้วยนะติ๋ม เดี๋ยวเจ๊จะออกไปดูร้านซะหน่อย เห็นเฮียบอกว่าจะมีคนเอาแก็สมาส่งที่ร้าน”
พูดเสร็จเจ๊เจี๊ยบก็เดินจากไป โดยที่ทิ้งให้ฉันเรียนรู้งานกับพี่ติ๋มด้วยตัวเอง
พี่ติ๋มเป็นคนจีน แต่ไม่ได้มีผิวพรรณขาวสวยเหมือนเจ๊เจี๊ยบ ถ้าไม่บอกว่าพี่ติ๋มเป็นญาติกับเจ๊เจี๊ยบ ฉันก็คงไม่อยากเชื่อตาตัวเองเลย เพราะพี่ติ๋มหน้าตาไม่เหมือนคนจีนเลย พี่ติ๋มอายุประมาณยี่สิบห้าปี แต่หน้าตาเหมือนคนที่อายุเลยสามสิบไปนานแล้ว ด้วยใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางและสิวที่ขึ้นเป็นจุด ๆ ซึ่งไร้การรักษา ทำให้หน้าพี่ติ๋มดูแก่กว่าวัยไปเยอะเลย
พอพูดคุยทักทายกันตามมารยาทเสร็จแล้ว พี่ติ๋มก็มอบงานตากผ้าให้กับฉัน โดยที่ตัวเองขอตัวไปกินข้าวเสียก่อน
“ตากผ้าไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปกินข้าวแป๊บหนึ่ง หิวจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินพี่ติ๋มพูดเรื่องอาหาร ท้องของฉันก็ร้องขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เช้าไม่ได้ทานอะไรรองท้องเลย พอตากผ้าเสร็จแล้ว ฉันก็ล้างพื้นที่หลังบ้านให้สะอาดพร้อมทั้งเก็บคว่ำกะละมังไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็เดินมาหาพี่ติ๋มภายในบ้าน ซึ่งพี่ติ๋มกำลังนั่งดูรายการตลกทางทีวีอย่างสนุกสนาน
“เสร็จแล้วเหรอณัฐ” ปากถามแต่ตาสนใจอยู่ที่หน้าจอทีวีมากกว่า ส่วนปากก็เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ฉันเดินมานั่งข้าง ๆ พี่ติ๋มบนพื้น โดยที่พี่ติ๋มนั่งบนโซฟาราคาแพง
“เสร็จแล้วค่ะ”
“หิวข้าวไหมล่ะ กินอะไรมาหรือยัง” พี่ติ๋มถามไถ่โดยที่ตายังจ้องอยู่ที่ทีวี
“ค่ะ ไม่ได้ทานอะไรมาเลย” ฉันบอกให้พี่ติ๋มทราบไปตามความจริง
“ข้าวและกับข้าวอยู่บนโต๊ะนะ ไปตักทานเองแล้วกัน อะไรที่เหลือก็ทานได้เลยนะ” พี่ติ๋มยังคงมีน้ำใจกับฉันอยู่บ้าง ทำให้ใจน้อย ๆ ของสาวบ้านนาอย่างฉันชื่นใจขึ้นมาทันที
ฉันเดินไปดูที่ห้องครัว และก็หยิบจานใบเล็ก ๆ มาตักข้าวใส่จาน จากนั้นก็ตักกับข้าวที่เหลืออยู่น้อยนิดคลุกกับข้าวในจานมานั่งรับประทานข้าง ๆ พี่ติ๋ม พอทานข้าวเสร็จแล้วฉันก็อาสาช่วยเก็บเอาจานที่พี่ติ๋มรับประทานอาหารไปล้างให้ด้วย โดยที่ในห้องครัวนั้นมีถ้วยจานเต็มไปหมดรอการล้างทำความสะอาด ฉันไม่ได้กลับไปนั่งกับพี่ติ๋มอีก และก็เลือกที่จะล้างจานที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จ
ช่วงที่นั่งทำงานไปพลาง ๆ ใจของฉันก็อดที่จะคิดถึงพ่อไม่ได้ อีกใจหนึ่งก็อดที่จะคิดถึงพริมและเพ็ญไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนทั้งสองคนจะมีชีวิตอย่างไรบ้าง และก็ได้แต่หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งฉันคงมีโอกาสได้โทรไปหาถามข่าวคราวของเพื่อนบ้าง