นานแล้วที่ฉันห่างหายไปจากเวบไซต์ เพราะต้องทำงานตลอด และก็มีเรื่องอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ฉันยอมรับว่าบางวันต้องเข้างานแปดโมงเช้าเลิกเที่ยง และก็ขับรถกลับมาบ้าน พอบ่ายสามโมงก็ต้องไปทำงานตอนค่ำอีก ก็อย่างที่เคยเกริ่นบอกไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันจะเริ่มเทรนงานเกี่ยวกับการทำรีเสิร์ทและงานเอกสารต่าง ๆ ซึ่งก็ยอมรับว่างานช่วงเช้าเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและยากพอสมควร ยากกว่างานบัญชีในตอนค่ำเสียอีก ความรับผิดชอบสูงกว่ากันเยอะ
บางคนอาจจะมีคำถามมากมายว่า ทำไมฉันเทรนงานนานจัง อันที่จริงถ้ามีโอกาสได้ทำทุกวันทุกอาทิตย์ก็คงไม่เกินหนึ่งถึงสองอาทิตย์ก็คงทำได้ แต่บางอาทิตย์มีโอกาสได้เทรนแค่สามวันและก็ห่างไปสองอาทิตย์ บางอาทิตย์เทรนสองวันก็ต้องหยุด เพราะคนเทรนงานลาพักร้อน ก็ต้องรอให้คนเทรนกลับมาเสียก่อน กว่าจะจบสิ้นการเทรนงานก็เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคมนี่เอง และด้วยเหตุนี้ทำให้ฉันไม่ได้เล่นเน็ตไปนานทีเดียว
พอวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ฉันได้ทำงานคุมบัญชีในตอนเช้า และดูแลพวกงานเอกสารและงานรีเสิร์ทต่าง ๆ ฉันเข้างานแปดโมงเช้าและยิงยาวถึงสี่โมงเย็น แต่เนื่องมาจากที่บริษัทงานยุ่งมาก ๆ มีลูกค้าเยอะไปหมด ก็ต้องอยู่ช่วยเพื่อนที่ทำอีกกะหนึ่งไปเก็บเงินจากเครื่องคิดเงินของพวกแคชเชียร์เสียก่อน นอกจากนั้นก็มีการคุยมอบหมายงานกันต่อกะตามประสางาน กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบหกโมงเย็น ฉันยอมรับว่าการทำงานตำแหน่งบัญชีมีเวลาเข้างานที่แน่นอน ตรงต่อเวลามาก ๆ แต่เวลาเลิกงานนั้นไม่แน่นอนอย่างที่คิด
ยิ่งในช่วงวันไหนที่่ต้องปิดบัญชี เกิดยอดเงินสดและเช็คไม่ลงตัว เราก็ต้องนั่งหาข้อมูลผิดพลาดให้ได้ แล้วคีย์ยอดให้ลงตัว เพราะทุก ๆ สองชั่วโมงเราจะทำการส่งยอดเงินที่รอนำเข้าธนาคารในตอนเช้า ซึ่งจะมีพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่คอยจัดการเรื่องตรงนี้ให้ โดยที่พนักงานด้านบัญชีไม่ต้องเดินทางเอาเงินไปฝากธนาคารด้วยตัวเอง บางวันส่วนงานของฉันก็เสร็จเร็ว แต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะต้องรอให้พนักงานแคชเชียร์ส่งคืนเงินทั้่งหมดให้เสียก่อน แล้วค่อยเอาเงินเก็บเข้าเซฟก่อนที่จะเดินทางกลับมาบ้าน แม้ตารางการทำงานบอกว่าเลิกสามทุ่ม แต่บางวันก็สามทุ่มครึ่ง บางวันก็สี่ทุ่ม ขึ้นอยู่กับโอกาสและความยุ่งในแต่ละวัน
ชีวิตในแต่ละวันคือการเรียนรู้ และเป็นการเรียนรู้ที่ต่อยอดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีวันสิ้นสุด งานบางอย่างเราไม่สามารถเรียนรู้ได้หากไม่เจอปัญหาจริง ๆ ซึ่งการบอกเล่าตามขั้นตอนในสมุดบันทึกรายละเอียดที่เรียนรู้กันเป็นช่วง ๆ ที่ผู้จัดการสอนนั้น ก็ใช่จะเหมือนกับการเรียนรู้ที่เราได้ปฏิบัติจริง ๆ แต่อย่างใด
อย่างเช่น ลูกค้าที่เขียนเช็คเด้งทั้งหลายแหล เวลาที่มีลูกค้ามาซื้อสินค้า และไม่สามารถชำระค่าสินค้าได้ เนื่องมาจากบัตรสมาชิกโชว์ว่าท่านเขียนเช็คเด้ง ทำให้ส่วนงานแคชเชียร์ติดขัด ซึ่งผู้จัดการฝ่ายแคชเชียร์ก็ต้องนำบัตรสมาชิกของลูกค้ามาให้ฉันตรวจสอบ โดยการตรวจสอบมีหลายส่วนหลายขั้นตอน พอเราเจอปัญหาก็ต้องออกมาจากออฟฟิศเพื่อที่จะแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้ลูกค้าทราบ
ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวได้ทำไว้นั้นผิด และก็ยอมชำระเงิน ไม่ว่าลูกค้าจะเขียนเช็คเด้งหรืออะไรก็แล้วแต่ หน้าที่การงานในส่วนที่ฉันทำนั้น ทุกคนต้องสุภาพและมีความเป็นโปรเฟชชั่นนอลพอสมควร การเจรจาพูดคุยก็เป็นสำคัญ และต้องดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี งานแต่อย่างเราทำกันอย่างขยันขันแข่งและแข่งกับเวลา เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นหลัก
ลูกค้าบางคนรู้สึกเสียใจที่เขียนเช็คเด้งโดยไม่รู้ตัว โดยสาเหตุต่าง ๆ ที่ไม่สามารถบอกกล่าวได้ แต่ก็ได้มีการขอโทษกับสิ่งที่ทำเอาไว้ ทางส่วนงานที่ฉันทำก็ไม่ได้ถือโกรธอะไร เพราะคิดว่าทุกคนผิดพลาดกันได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฏระเบียบ ซึ่งก็มีเรื่องกฏหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เราทุกคนเคารพกฏระเบียบและกฏหมายอย่างเคร่งครัด
การทำงานในส่วนตรงนี้ ยอมรับว่านอกจากจะขยันอดทนที่จะเรียนรู้งานในส่วนของตัวเองแล้ว การเอาใจเขามาใส่ใจเราในส่วนของเพื่อนร่วมงานก็สำคัญไม่น้อย เพราะการทำงานเป็นทีมเวิร์คย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องพึงพากันและกัน ดังนั้นเมื่อมีโอกาสก็ช่วยเหลือแบ่งปันเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ
สองเดือนกว่าที่หายไปกับเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา นอกจากเรื่องงานแล้ว ก็ยังมีเรื่องคุณแม่สามีที่ฉันได้เดินทางไปย้ายมาอยู่ด้วย การย้ายท่านมาอยู่ด้วยใช่จะง่าย เพราะท่านมีข้าวของเยอะมาก ของบางอย่างก็ต้องบริจาคให้คนใกล้ชิดกันไป ของบางอย่างที่พอจะเอามาได้ก็ต้องค่อย ๆ ขนกันมาทีละนิด นอกจากนั้นก็จ้างบริษัทขนของให้ช่วยเอาของมาลงที่บ้านให้ด้วย เรื่องราวแต่ละขั้นตอนการย้ายท่านมาอยู่ด้วยนั้น เราสองคนต้องวางแผนกันอย่างรอบคอบ ด้วยเวลาการทำงานที่แตกต่างกัน
วันที่ 25 กันยายนฉันและสามีเดินทางไปสัมนางานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐหลุยส์เซียน่าตอนเหนือ เราพักที่โรงแรมในเมืองนี้หนึ่งคืน เมื่องานสัมนาจบสิ้นก็ได้เดินทางมายังเมืองที่คุณแม่พักอยู่ แต่ก่อนเดินทางไปสัมนาหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณแม่ได้เก็บข้าวของที่สำคัญบางอย่างไว้ให้เราสองคนเรียบร้อยแล้ว เพราะเราสองคนจะเช่ารถ U-Hual ขนกลับมาพร้อมตัวเองในรอบแรก โดยที่เราสองคนได้เช่ารถ U-Hual ล่วงหน้าไว้แล้วหนึ่งอาทิตย์
เมื่อเดินทางไปถึงบ้านคุณแม่ เราสองคนก็ได้แยกของบางส่วนออกแต่ละชุด ของส่วนใหนที่ให้บริษัทขนส่งมาจัดการให้ ของอันใดที่เราต้องขนไปเอง เมื่อแยกของเสร็จแล้ว ก็ต้องนอนพักที่บ้านคุณแม่หนึ่งคืน พอตอนเช้าก็ขับรถไปยังร้านเช่ารถ U-Hual เพื่อไปรับรถที่เช่าเอาไว้ โดยที่พนักงานของร้านเช่ารถได้เอารถที่เช่าติดตั้งกับรถของเราไว้เรียบร้อย ๆ จากนั้นก็พากันขับรถมายังเมืองดีริดเดอร์ (DeRidder) ซึ่งก็ต้องไปขนเอารถเข็นของคุณแม่ที่บ้านพี่ชาย เสร็จแล้วก็พากันแวะซื้อดอกไม้ไปไหว้หลุมฝังศพของคุณพ่อสามี รวมทั้งคุณตาคุณยายของสามีด้วย
การไปซื้อของที่วอลมาร์ท ทำให้ฉันได้สังเกตอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับคุณแม่ ยอมรับว่าท่านอายุมากขึ้น และเป็นคนที่พูดคุยทักทายกับทุก ๆ คนได้ตลอด โดยที่ไม่สนใจเลยว่าคนนั้นจะรู้จักหรือไม่ ท่านก็ชอบที่จะทักทายอยู่เสมอ แม้ว่าผู้คนเหล่านี้ท่านจะไม่รู้จัก แต่ถ้ามีคนทักทายกับท่าน ท่านก็จะมีเรื่องราวชวนสนทนาที่ยาวเหยียด โดยที่มีฉันยืนเกาะแขนท่านยิ้มรับไปตามเคย เรื่องบางอย่างก็เป็นเรื่องตลก ๆ ที่คุยกันส่วนใหญ่ ซึ่งจุดตรงนี้ก็ต้องดูแลท่านให้ดี เพราะท่านมองโลกในแง่ดี เกรงว่าจะมีคนไม่ดีเข้ามาทำร้ายท่านได้
และอีกอย่างหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็เรื่องนิสัยเจ้าระเบียบของท่าน มีอยู่วันหนึ่งในช่วงเช้าก่อนที่เราสามคนจะเดินทางมาที่เมืองดีริดเดอร์ ฉันและสามีได้พาคุณแม่แวะทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอเดินเข้าไปในร้านท่านเห็นพนักงานบางคนยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างร้าน และก็เห็นก้นบุหรี่ตามพื้นเต็มไปหมด คุณแม่ไม่สนใจที่จะเดินเข้าไปในร้าน ท่านเดินต้อย ๆ เข้าไปหาพนักงานเหล่านี้ทันที ท่านคงจะคิดว่าคนเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทิ้งก้นบุหรี่ทำให้ร้านสกปรก
"ไม่ทราบว่าพวกเธอสูบบุหรี่แล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นหรือเปล่าเนี่ย"
คุณแม่ถามขึ้น โดยที่ท่านไม่เกรงกลัวใครเลย ฉันเองต้องรีบปรามท่าน โดยที่ดึงมือท่านเอาไว้
พนักงานสาวคนนั้นหน้าเสียทันที หันมาทางท่าน ตอบไม่เต็มคำมากนัก
"เปล่า พวกฉันไม่ได้ทิ้งก้นบุหรี่แบบนี้หรอก คิดว่าคงเป็นพวกลูกค้า" และก็โยนความผิดไปให้ลูกค้า หรืออาจจะเป็นลูกค้าจริง ๆ ก็เป็นได้
"ทิ้งก้นบุหรี่แบบนี้ไม่ดีนะเนี่ย สกปรก เป็นแหล่งเชื้อโรคด้วย" คุณแม่พูดยังไม่ทันจบ ฉันก็รีบดึงมือท่านออกมา
"แม่ หนูว่าแม่อย่าไปว่าเขาเลยนะ ปล่อยเขาไปเถอะ ถิ่นนี้ไม่ใช่ถิ่นเรา เราไปว่าเขาแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ หากเขาเกิดเกลียดชังเราขึ้นมา เขาอาจจะทำร้ายเราก็ได้ อย่าสนใจเลยนะคะ ปัญหาของพวกเขา เดี๋ยวเขาก็คงจัดการกันเอง" ฉันบอกคุณแม่เพราะรู้สึกแบบนั้น
ฉันรู้ว่าท่านหวังดีและอยากให้คนทั่วไปรักษาความสะอาด แต่ในสังคมใหญ่ ๆ ผู้คนใช่จะคิดเหมือนท่านเสียหมด บางคนไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ ฉันห่วงท่านเกรงว่าความหวังดีที่ท่านมีให้คนอื่น จะกลายเป็นความหวังร้าย ฉันคิดว่าคุณแม่คงจะอายุมากแล้ว ความคิดความอ่านเปลี่ยนไป ท่านคงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่และอายุมาก คงจะตำหนิตักเตือนคนรุ่นลูกหลานได้ คิดว่าคนอื่น ๆ คงจะเชื่อ แต่ในความจริงท่านมองโลกในแง่ดีเกินไป และหวังดีกับคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน กลายเป็นว่าความหวังดีของท่านทำให้พนักงานสาวมีสีหน้าไม่พอใจ
"แม่แค่ไม่ชอบพวกคนสกปรก คนพวกนี้ทำให้อเมริกาไม่น่าอยู่" คุณแม่พูดขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ เอี่ยวตัวเดินเข้าไปในร้าน โดยที่มีฉันคอยพยุงแขนท่านไปด้วย
"แม่อย่าไปสนใจเรื่องเขาเลยนะคะ จิตสำนึกของคนเราไม่เหมือนกันหรอกค่ะ"
"คนสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยแม่เลยนะ" แม่บ่นอุบอิบและก็เดินมานั่งที่โต๊ะ
พนักงานเสิร์ฟมารับออร์เดอร์อาหารก่อนที่จะหายไปครู่ใหญ่ และกลับมาพร้อมเครื่องดื่ม จากนั้นเพียงไม่นานอาหารเช้าก็ทยอยเอามาเสิร์ฟ วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ทานอาหารเช้ากับคุณแม่ เห็นท่านทานข้าวได้เยอะก็ดีใจ เพราะท่านดูซูบโทรมไปมาก
ในตอนสาย ๆ เราสามคนพากันขับรถมายังสุสานฝังศพประจำเมืองนี้ พอขับรถมาถึงถนนด้านหน้าหลุมฝังศพคุณพ่อ สามีและคุณแม่ก็ช่วยกันเอาดอกไม้เก่า ๆ ออก และก็เอาดอกไม้พลาสติกอันใหม่ปักข้าง ๆ หลุมฝังศพของคุณพ่อ ในวันนั้นเราสามคนถือโอกาสบอกลาคุณพ่อด้วย ส่วนฉันในตอนนั้นทำหน้าที่เก็บเศษขยะต่าง ๆ เอาไปทิ้งให้หมด ก่อนที่จะกลับมาช่วยกันปักดอกไม้ที่หลุมฝังศพให้คุณพ่อ
ฉันนั่งลงประนมมือไหว้ อธิฐานบอกกับดวงวิญญาณของคุณพ่อสามีว่า วันนี้ฉันได้กลับมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ว่าเมื่อใดที่พร้อมจะกลับมารับคุณแม่ไปอยู่ด้วย ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าและข้างหลังจะเลวร้ายแค่ไหน เราสองคนจะไม่ทิ้งท่าน และจะดูแลท่านให้ดีที่สุด สายลมเย็นพัดวูบโชยเข้าตรงหน้าของฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกทันที ฉันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณของคุณพ่อรับรู้การกระทำของฉันและสามี ท่านคงจะดีใจที่คุณแม่จะไปพักอยู่กับเราสองคน
ส่วนทางคุณแม่และสามีนั้น เมื่อปักดอกไม้กันเสร็จแล้ว ท่านก็ก้มสัมผัสหลุมฝั่งศพของคุณพ่อเบา ๆ น้ำตาไหลรินออกมา ฉันเห็นภาพทุกอย่าง รู้ว่าท่านรักคุณพ่อมาก และรู้ว่าท่านเสียใจที่คุณพ่อจากไปเร็ว และรู้ว่าท่านเสียใจกับหลายอย่างที่ผ่านมา ฉันและสามีเดินไปกอดคุณแม่
"แม่อย่าร้องไห้เลยนะ พ่อคงจะดีใจที่แม่จะไปอยู่พวกผม ผมจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด ขอให้แม่ลืมอดีตที่ปวดร้าวทั้งหมด สิ่งที่จดจำให้ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่แม่และพ่อมีความสุขด้วยกัน ส่วนกับอื่น ๆ นั้น ขอให้มันเป็นอดีตที่หายไปกับสายลม เชื่อผมนะแม่"
สามีบอกคุณแม่ น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันปลื้มในตัวเขา ทุกครั้งที่เห็นเขาแสดงออกถึงความรักความห่วงใยที่มีให้คุณแม่นั้น ฉันมีแต่ความสุขและความยินดีอยู่เสมอ ดีใจที่สามีเป็นคนที่กตัญญูรู้บุญคุณพ่อแม่
คุณแม่เช็ดน้ำตาเบา ๆ ไม่ได้พูดจาอะไร คิดว่าทุกอย่างคงจุกที่ใจไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้ จากนั้นคุณแม่ก็ขอตัวเดินไปทางด้านหลัง ฉันกับสามีมัวแต่ช่วยกันเก็บข้าวของใส่รถ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าท่านเดินทางไปไหน พอหันไปอีกทีท่านก็หายไปแล้ว เราสองคนตะโกนร้องเรียกหาท่าน แต่ก็ไม่เห็นท่านสักที รู้สึกใจหายไม่น้อยก็เลยเดินตามไปด้านหลัง พอเห็นท่านทำความสะอาดหลุมฝังศพเล็ก ๆ ก็อดที่จะเข้าไปหาไม่ได้
"แม่อยากร่ำลาแม่และพ่อของแม่เสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะได้กลับมาที่นี่ หรืออาจจะไม่ได้กลับมาเลยก็ได้"
"เมื่อใดที่เรามีเวลาว่าง ถ้าคุณแม่อยากกลับ หนูกับชิพจะพาแม่กลับมาเยี่ยมที่นี่"
แม่ทอดสายตามองหลุมฝังศพตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เศร้า ๆ "ถ้าลูกสองคนยุ่งก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพาแม่กลับมาที่นี่หรอกนะ แต่ก็ขอให้ในวันที่แม่ตาย พาร่างของแม่มาฝังข้าง ๆ พ่อของชิพนะ"
ฉันยิ้มนิดหนึ่ง แต่หัวใจข้างในกลับร้องไห้ รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่คุณแม่พูดถึงเรื่องความตาย ใช่สิก่อนที่คุณพ่อของสามีจะเสียชีวิต ท่านได้ซื้อที่ฝังหลุมฝังศพของท่านและคุณแม่ไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านจ่ายชำระทุกอย่างทั้งหมด เพราะไม่อยากให้คนข้างหลังต้องรับภาระตรงนี้ ซึ่งก็ดูแปลกไปอีกแบบที่คนในเมืองไทยไม่ทำแบบนี้กัน แต่วัฒนธรรมคนอเมริกันส่วนใหญ่ จะมีการซื้อหลุมฝังศพจองให้กับตัวเองเอาไว้
"แม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เมื่อถึงวันนั้นหนูจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับแม่" ฉันบอกแม่ พลางพยุงท่านเดินออกมา
จากนั้นก็ขอให้สามีช่วยพยุงท่าน เพราะท่านคงต้องการอยู่ใกล้ชิดกับลูกชายมากขึ้น โดยเฉพาะในบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความอาดูรอาลัยถึงคนที่จากไปหลายปี ท่านคงต้องการกำลังใจสำคัญอยู่ข้าง ๆ ท่าน คอยพยุงแขนของท่าน ส่วนฉันในฐานะลูกสะใภ้ จะเป็นทุกอย่างเพื่อให้คนสองคนก้าวไปอย่างมีความสุข
หลังจากเสร็จธุระเยี่ยมหลุมฝังศพของคุณพ่อแล้ว ฉันและสามีพาคุณแม่ขับรถกลับมายังบ้านของท่าน พอตอนค่ำ ๆ ก็พาท่านขับรถไปทานอาหารทะเลที่ท่านโปรดปรานที่สุด ตอนแรกเราสองคนก็คิดว่าเป็นร้านอาหารของคนเคจั่นที่เปิดติด ๆ กับคาสิโนในเมืองนี้ แต่น่าแปลกใจที่ร้านอาหารทะเลที่คุณแม่โปรดปรานและอยากไปทานมากที่สุดกลับเป็นร้านอาหารจีน ซึ่งร้านนี้จะขายอาหารบุปเฟ่ และก็มีอาหารทะเลหลายอย่าง คุณแม่ดูมีความสุขมาก ๆ กับการได้รับประทานอาหารอร่อย ๆ โดยที่มีฉันและสามีห้อมล้อม ท่านทานทุกอย่างที่ฉันตักมาให้ ฉันแกะเนื้อปูให้ท่านได้ทาน คอยถามไถ่ท่านอยู่ตลอดว่าต้องการอาหารใดบ้าง
คุณแม่ชอบทานปูหิมะมาก ฉันเห็นท่านมีความสุขก็พลอยสุขใจไปด้วย ส่วนอาหารหวานท่านก็ชอบทานผลไม้สด ๆ เสียมากกว่า ซึ่งท่านก็คิดว่าเป็นสิ่งดีที่ท่านชอบทานผักและผลไม้ไปด้วย เพราะอยากให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง
คงไม่มีใครเชื่อว่า พนักงานเสิร์ฟร้านอาหารจีนแห่งนี้เคยเห็นฉันและสามีที่รัฐโอกลาโฮม่ามาก่อน พนักงานเสิร์ฟคนนี้บอกว่าเคยทำงานที่ร้านอาหารจีนในเมืองที่ฉันและสามีพักอาศัยอยู่ เธอเห็นฉันไปทานอาหารที่ร้านบ่อย ๆ และจำได้ว่า ฉันชอบสั่งชาหวานไม่ใส่น้ำแข็งและชอบทานขากบทอดกระเทียม ฉันได้ยินเธอพูดก็เซอร์ไพร้มาก ๆ พอพินิจพิจารณาหน้าตาพนักงานเสิร์ฟ ยอมรับว่าจำเธอได้
วันนั้นฉันและสามีรวมทั้งคุณแม่ทานอาหารอย่างมีความสุข เพราะมีการพูดคุยสนทนาหลาย ๆ อย่างกับพนักงานเสิร์ฟ ลูกสาวเจ้าของร้านก็มายืนคุยด้วยอย่างสนิทสนม บางทีฉันมานั่งคิดว่าชีวิตคนเรานี่ก็แปลก ตรงที่ว่าบางคนที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ ก็ได้เจอจริง ๆ และเขายังจำเราได้ โชคชะตาคนเราไม่มีอะไรที่แน่นอน พรหมลิขิตขีดไปตามเส้นทางของมัน มีแต่ตัวเราที่เตรียมพร้อมมที่จะเจอสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวันข้างหน้า
ฉันกับสามีกลับมาถึงบ้านก็พากันขนของขึ้นรถทั้งหมด โดยที่มีคุณแม่คอยช่วยอีกแรง เราสองคนบอกให้ท่านนั่งพัก เพราะห่วงสุขภาพของท่าน แต่คุณแม่เป็นผู้หญิงที่อดทนมาก ๆ ท่านไม่เคยนั่งดูดายแต่อย่างใด และก็เข้ามาช่วยเราสองคนตลอด เราสองคนขนของกันเสร็จก็ประมาณสามทุ่ม จากนั้นก็อาบน้ำนอนดูทีวีกับคุณแม่ไปพลาง ๆ พอเวลาที่ท่านเข้านอน ฉันก็มักจะเดินมาส่งท่านและหอมแก้มท่านบอกลาราตรีสวัสดิ์ทุกครั้ง
ในตอนเช้าเราสองคนตื่นกันแต่เช้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของทุกอย่างใส่รถ เช้าวันนั้นคุณแม่เดินมาส่งเราสองคนขึ้นรถ ท่านน้ำตาซึมนิดหนึ่ง โบกมือบาย ๆ เราสองคน ฉันกับสามีพากันขับรถมาถึงถนนใหญ่ ก็นึกได้ว่าลืมอะไรสักอย่าง ฉันขอร้องให้สามีขับรถกลับไปหาแม่อีกครั้ง และก็รีบวิ่งไปหาท่านทันที เหตุผลหลัก ๆ ก็คืออยากให้อะไรท่านสักอย่าง แม้จะรู้ว่าท่านไม่อยากรับ แต่ก็อยากให้ท่านเก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
"แม่เก็บไว้ใช้นะ อีกแค่สิบกว่าวันชิพจะมารับแม่ ดูแลตัวเองให้ดี ขาดเหลืออะไรขอให้แม่บอก ไม่ต้องเกรงใจ หนูจะเตรียมข้าวของทุกอย่างไว้ให้แม่ จะจัดห้องไว้รอแม่นะคะ"
แม่กอดฉันไว้แน่น เธอยิ้มทั้งน้ำตา ตั้งแต่ท่านแต่งงานมีลูกแปดคน ไม่เคยมีลูกสะใภ้คนไหนหยิบยื่นน้ำใจอย่างนี้ให้ท่าน และก็มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่มอบให้ท่านเสมอ แม้จะไม่มากมาย แต่ฉันกับสามีก็ไม่เคยมองข้ามตรงนี้ ฉันไม่เคยตำหนิในส่วนของพี่น้องต่างบิดาคนอื่น ๆ ของสามีที่ไม่ใส่ใจดูแลคุณแม่ เพราะคิดว่าทุกคนคงจะมีเหตุผลของตัวเอง แต่ก็ยอมรับว่าอดน้อยใจแทนท่านไม่ได้ ที่มีลูกหลายคนแต่ไม่มีใครรักและรับอาสาเลี้ยงดูท่านได้ และก็คงนี้แหละมั้งที่ฉันมักจะได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า
"แม่หนึ่งคนเลี้ยงลูกได้เป็นสิบ ๆ คน แต่จะมีลูกสักกี่คนที่เลี้ยงแม่แค่คนเดียวได้บ้าง"
ฉันจดจำคำพูดนี้ตั้งแต่ฉันอยู่เมืองไทย จวบจนมาอยู่อเมริกาฉันก็นำมันสอนสั่งตัวเองเสมอ การแต่งงานและกลายเป็นสะใภ้เต็มตัวนั้น คือความยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของลูกผู้หญิง การทำดีกับแม่สามีและคอยดูแลปรนนิบัติท่านคือสิ่งที่สมควรที่จะทำอย่างยิ่ง
ฉันไม่เคยปฏิเสธหรอกว่า ในอดีตที่ผ่านมาฉันกับคุณแม่จะไม่เคยมีปัญหากัน และก็ยอมรับว่าปัญหาทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นบทเรียนให้เราค่อย ๆ เรียนรู้ปรับปรุงแก้ไขจุดผิดพลาดของแต่ละคน และในวันนี้พวกเราทุกคนต่างก็หันหน้าเข้าหากัน นำสิ่งดี ๆ มาร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน และฉันก็จะเป็นแรงผลักดันสำคัญทำให้ครอบครัวอันน้อยของฉันมีความสุขที่สุด และจะทำให้คุณแม่สุขใจที่สุด
ฉันกับสามีขับรถประมาณสิบชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงบ้าน พอเช้าวันใหม่ก็พากันเอาของลงจากรถให้หมด แต่ก็ยังไม่ได้แกะกล่องแต่อย่างใด เพราะฉันจะต้องไปทำงานในช่วงกะเช้าและก็กลับไปทำงานช่วงบ่ายปิดบัญชีด้วย ฉันยอมรับว่าเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร แต่ชีวิตคนเราเมื่อถึงวันที่หนักจริง ๆ เราก็ต้องอดทนและสู้ให้ถึงที่สุด
วันที่ 14 ตุลาคมสามีหยุดช่วงฟอลเบรคหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ และก็นั่งเครื่องบินไปรับคุณแม่ที่หลุยส์เซียน่า ก่อนหน้านี้สองวันบริษัทขนของได้เอาของมาลงที่บ้านเรียบร้อยแล้ว การเดินทางไปรับคุณแม่ใช่จะสะดวก เครื่องบินดีเลย์นานหลายชั่วโมง จากเป้าหมายการเดินทางที่กำหนดเอาไว้ว่า สามีจะต้องเดินทางไปถึงเมืองที่คุณแม่อยู่ตอนบ่ายสองโมงก็กลับเปลี่ยนเป็นสองทุ่ม ซึ่งก็น่าสงสารสามีไม่น้อย
สาเหตุที่สามีต้องบินไปรับคุณแม่อีกรอบ เพราะสามีจะต้องพาคุณแม่ขับรถของท่านกลับมา เพราะคุณแม่ท่านเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่ คงจะให้ท่านขับกลับมาเองไม่ได้ เพราะสายตาของท่านไม่ดี และก็ความทรงจำต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ลืนเลือนไปด้วย ทำให้ท่านทำอะไรที่ผิดพลาดได้ง่าย
หนึ่งวันก่อนที่สามีจะบินไปรับคุณแม่นั้น ท่านได้ขับรถชนตู้ไปรณีย์เสียด้วย ผลสรุปท้ายรถยุบไปนิดหนึ่ง และก็ยังมิได้ซ่อมแต่อย่างใด รอให้สามีว่างก็คงจะพาท่านเอาไปซ่อมที่ศูนย์ของรถท่านซึ่งประกันได้ระบุเอาไว้ เมื่อสามีเดินทางไปถึงบ้านคุณแม่ ก็ได้พาท่านขับรถออกมา และก็นอนพักที่โรแรมในเมืองแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางในตอนเช้าวันถัดมา
คืนที่สามีบินไปรับคุณแม่นั้น ฉันนอนไม่หลับ รู้สึกห่วงใยสารพัด เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่รัฐโอกลาโฮม่ายังไม่เคยอยู่บ้านคนเดียว ฉันบอกกับตัวเองเสมอว่า ในวันที่สามีไม่อยู่บ้าน ฉันจะต้องเข้มแข็งและอดทน จะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะรอในวันที่เขากลับมา
เช้าวันถัดมาฉันตื่นแต่เช้า ทำอาหารรอต้องรับคุณแม่และสามีกลับมา วันนั้นฉันทำต้มจืดหมูสับกับผักรวม ข้าวผัดอเมริกัน และก็ไก่ผัดผักรวม ฉันนั่งรอคุณแม่และสามีกลับมาด้วยใจตื่นเต้นอยู่ตลอด พอบ่ายสามโมงเย็นคุณแม่โทรเข้ามือถือ ฉันรีบรับทันที
"แม่กับชิพกำลังเลี้ยวรถเข้าถนนลีแล้วนะลูก"
"แม่ เดี๋ยวหนูจะออกไปรอแม่และชิพหน้าบ้านนะคะ"
วันนั้นหลังจากที่คุยกับคุณแม่เสร็จ ฉันก็ถือกุญแจออกมายืนรอคุณแม่และสามีหน้าบ้านหลายนาที ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับภาพตอนตัวเองยังเด็ก ๆ เลย เมื่อครั้งที่ยืนรอรับพ่อทุกครั้งที่พ่อกลับมาจากตลาด แต่ภาพวันนี้จะต่างกันตรงที่ว่าฉันยืนรอสามีกับคุณแม่สามีต่างหาก ครั้งแรกที่เห็นสามีและคุณแม่ขับรถเลี้ยวเข้ามาในบ้าน หัวใจของฉันพองโตทันที ฉันวิ่งไปกอดสามีและก็วิ่งไปกอดคุณแม่ด้วยความดีใจ จากนั้นก็พาท่านเข้ามาในบ้าน หากน้ำให้ท่านได้ดื่ม และพาท่านเข้าไปดูห้องนอนที่จัดไว้ให้ เสร็จแล้วก็เตรียมอาหารเพื่อรับประทานกัน
ณ วันนี้ห้าวันกว่าแล้ว ความสุขของครอบครัวยังคงเหมือนเดิม อาหารการกินทุกอย่างลงตัว ฉันและสามีรวมทั้งคุณแม่มีช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมื่อวานนี้ฉันกับสามีพาคุณแม่ไปทานอาหารที่ร้าน Red Lobster เพื่อเป็นการฉลองย้อนหลังวันครบรอบแต่งงานเจ็ดปีของเราสองคน อาหารทุกอย่างอร่อย ๆ รอยยิ้มในครอบครัวยังคงสดชื่น แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องมีอุปสรรคมากแค่ไหน แต่เราจะจูงมือและก้าวไปพร้อม ๆ กัน และจะดูแลกันและกันให้ดีที่สุด
จนถึงวันนี้ของทุกอย่างในบ้านก็ยังแกะกล่องไม่หมด เพราะคุณแม่มีของเยอะมาก ส่วนข้าวของที่เหลือของฉัน ก็ขนไปบริจาคให้ร้าน Good Will เพราะถือว่าดีกว่าที่เราจะเปิดบ้านขายของ เพราะเราทั้งสองคนไม่มีเวลา สู้เอาไปบริจาคให้ร้านแบบนี้ดีที่สุด ส่วนของบางอย่างที่ยังใหม่ ๆ และสภาพดี เราก็โทรตามคนที่รู้จักให้มาดูเสียก่อน ว่ามีใครขาดเหลืออะไรบ้าง โดยเฉพาะเครื่องครัวทั้งหลาย โชคดีมีเพื่อนหลายคนมาดูและชอบก็เอาไปใช้กัน ซึ่งก็ถือว่าดีมาก ๆ อย่างน้อย ๆ ของดี ๆ ได้ให้คนใกล้ชิดได้ใช้บ้าง
นับตั้งแต่คุณแม่มาพักอยู่ด้วย ชีวิตครอบครัวก็อบอุ่นไปอีกแบบ จากที่มีแค่คนสองคน เวลาเราจะทำอะไรก็จะนึกถึงคนที่สามอยู่เสมอ โชคดีที่คุณแม่เป็นคนน่ารัก คอยดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือทุกอย่าง ทำให้หายห่วงไปบ้าง อาจจะมีบ้างที่ท่านมีปัญหาที่ให้เราสองคนช่วยเหลือและรับผิดชอบแทน แต่ทั้งฉันและสามีในฐานะลูก ก็ต้องช่วยท่านให้มากที่สุด เพราะท่านคือคนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราสองคนในอเมริกา
ฉันกับสามีอยากดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด เพราะท่านอายุมากแล้ว หลาย ๆ คนมักจะบอกฉันว่า การพาคุณแม่สามีมาอยู่ด้วย มักจะเป็นลางร้ายที่ไม่ดีนัก ฉันยอมรับว่าไม่เคยกลัวกับคำพูดของใคร ฉันเชื่อในความดี หากเราทำดี ความดีจะทำให้เราเอาชนะใจคนได้เสมอ และฉันกับสามีก็จะทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด เพื่อให้ช่วงชีวิตสุดท้ายที่ท่านมีอยู่ได้มีความสุขที่สุด
ฉันก็มีโอกาสได้ทำอาหารไทยและอาหารเคจั่นกับคุณแม่บ่อย ๆ ยอมรับว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอาหารด้วยกัน ความสัมพันระหว่างแม่และลูกสะใภ้ยังคงแนบแน่น ความรู้สึกของฉันนั้น คุณแม่คือส่วนหนึ่งของชีวิตที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าสามี
นับว่าโชคดีหน่อยที่คุณแม่สามีทานอาหารไทยได้ทุกอย่าง ฉันชอบทำข้าวผัดให้ท่านได้ทานบ่อย ๆ เพราะเป็นอาหารที่ท่านทานง่าย ตอนนี้คุณแม่อายุย่างเจ็ดสิบห้าปี แต่ท่านก็ยังแข็งแรงอยู่มาก วันก่อนฉันมีโอกาสทำลาบรับประทาน ตอนแรกก็กะว่าจะแบ่งสูตรความเผ็ดออกเป็นสองแบบ แต่พอให้ท่านลองชิมสูตรความเผ็ดที่ฉันทำรับประทานกับสามี ปรากฏว่าท่านบอกว่าไม่เผ็ดเลย ท่านบอกว่าทานได้ ฉันจึงไม่ต้องทำอาหารแยกย่อยให้ฉันต่างหาก สรุปแล้วอาหารทุกอย่างที่ฉันทำ ท่านกลับทานได้หมดเลย เป็นที่น่ายินดีและดีใจของฉันและสามีเป็นอย่างมาก
