เมื่อหลายปีก่อน ดิฉันและแฟนได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย ดิฉันและแฟนมีความสุขมากที่ได้ไปพบเจอหน้าญาติพี่น้อง หลังจากที่ห่างบ้านเกิดเมืองนอนมานานหลายปี ดิฉันและแฟนถือโอกาสซื้อคอมพิวเตอร์เป็นของขวัญให้พี่ ๆ ทุกครอบครัว และก็ซื้อเสื้อผ้าไปฝากคนแก่คนเฒ่าด้วย ส่วนของฝากอื่นๆ ที่ขนไปจากอเมริกาก็ได้แจกญาติพี่น้องกันถ้วนหน้า
การที่ดิฉันซื้อคอมพิวเตอร์ให้พี่ ๆ นั้น เพราะว่าดิฉันและแฟนมีแนวคิดที่ว่า อยากให้หลานเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หากวันหนึ่งข้างหน้า ๆ หลาน ๆ เรียนสูงขึ้นก็จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ และคิดว่าคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่หลาน ๆ จำเป็นต้องใช้ในอนาคตข้างหน้าด้วย สำหรับคอมพิวเตอร์ดิฉันซื้อมานั้นจะต้องมาลงโปรแกรมด้วยตัวเอง ดิฉันซึ่งกับหลานชายคนโตก็พอทำได้อยู่แล้ว
พอถึงเวลากลับบ้านต่างจังหวัดที่ศรีสะเกษ ดิฉันและแฟน รวมทั้งพี่น้องทุกคนต่างก็กลับไปเยี่ยมบ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน บวกทั้งพี่สาวคนหนึ่งมีงานฉลองขึ้นบ้านใหม่ด้วย ทำให้พวกเราทุกคนมีโอกาสได้กลับไปบ้านพร้อมๆ กัน หลังจากเสร็จงานขึ้นบ้านใหม่พี่สาวคนนี้ พวกเราทุกคนในครอบครัวก็ถือโอกาสไปเที่ยวปราสาทเขาพระวิหารกันด้วย
ในตอนเช้าพี่เขยและแฟนก็พากันเอาข้าวไปทำบุญที่วัด ส่วนดิฉันและพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันจัดอาหารรอเตรียมรับประทานอาหารกัน แฟนกับพี่เขยกลับมาจากวัดก็เล่าให้ฟังว่าหลวงตาที่วัดพูดคุยด้วย ก็เลยเล่าให้ฟังว่าวันนี้พวกเราจะไปเที่ยวเขาพระวิหารกัน หลวงตาได้ยินแบบนั้นก็บ่นว่าเกิดมาในชีวิตไม่เคยมีโอกาสวาสนาได้เห็นเขาพระวิหารเลยสักครั้ง ตัวดิฉันกับแฟนก็ไม่เคยเห็นปราสาทเขาพระวิหารมาก่อนในชีวิตเช่นกัน และก็อยากให้หลาย ๆ คนได้เห็นด้วย ก็เลยบอกให้พี่เขยไปนิมนต์พระไปเที่ยวด้วยกัน ท่านจะไปกี่องค์ก็ได้ เพราะดิฉันกับแฟนขอจัดการเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้กับทุก ๆ คนในทริปนี้เอง
งานนี้มีญาติน้องรวมกันประมาณ 30 คนไปเที่ยวเขาพระวิหารด้วยกัน หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พี่เขยทั้งสองคนซึ่งมีรถปิกอัพก็ขับรถไปรับพระที่วัด ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ ก็นั่งข้างหลังรถบ้าง ส่วนคนแก่คนเฒ่าก็นั่งแค่บด้านในรถปิ๊กอัพ สำหรับดิฉันกับแฟนนั้นก็นั่งรถเก๋งของพี่ชายคนโต ระยะทางจากบ้านดิฉันไปเขาพระวิหารนั้นประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะพวกเราขับไม่เร็วมากนัก เราพากันขับแบบเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน เหนื่อยก็หยุดพักกันตามสบาย
พอรถไปถึงอำเภอกันทราลักษณ์ พี่เขยก็พาพวกเราทุกคนขับรถไปบ้านพี่สาวของพี่เขยซึ่งแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่อำเภอนี้ด้วย พวกเราเข้าไปทักทายพี่สาวของพี่เขยและสามีของเธอซึ่งเป็นตำรวจอยู่ที่อำเภอนี้ด้วย จากนั้นพี่สาวของพี่เขยและสามีก็นำทางพวกเราไปยังปราสาทเขาพระวิหาร ตรงทางผ่านด่านเขตแดนเมืองไทยนั้นก็ผ่านไปด้วยดี เพราะตำรวจชายแดนที่ดูแลตรงด่านเป็นคนรู้จักของสามีพี่สาวของพี่เขยด้วย ก็เลยทำให้ทุกอย่างไม่มีปัญหายุ่งยาก
จากนั้นพวกเราทุกคนก็เอารถไปจอดตรงจุดจอดรถ และก็เตรียมพากันปีนเขาไปด่านตรงเขตประเทศกัมพูชา พี่น้องแต่ละคนต่างก็ร่วมกันถ่ายรูปที่ระลึก ดิฉันกับแฟนเห็นจะสบายกว่าใคร ๆ เพราะไม่ต้องแบกกล้องถ่ายรูป เพราะพี่สาวคนที่สองถือโอกาสเป็นตากล้องแทน ทำให้เราสองคนเบามือไปเยอะ แต่ก็ไม่ลืมซื้อน้ำขวดน้ำดื่มให้ทุก ๆ คนได้ถือไว้ในตัวด้วย จากนั้นเราก็เข้าไปในด่านชายแดนเขมร ด่านตรงนี้มีการเก็บบัตรค่าผ่านทางเข้าด้วยด้วย ดิฉันจำไม่ได้ราคาต่อคนเท่าไร่แต่รู้สึกว่ารวมแล้วดิฉันจ่าย 1200 บาท กับค่าผ่านด่านตรงนี้ จากนั้นพวกเราทุกคนก็รีบมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายหลักทันที
พอไปถึงทางขึ้นปราสาทดิฉันก็ต้องตลึงกับความงามที่พบเจอ ความมหัศจรรย์ของตัวปราสาท แม้ว่าจะมีส่วนพังทลายเป็นบางจุดแต่ความสวยงามหลายๆ จุดยังเห็นได้ชัด ดิฉันกับแฟนอดที่จะภูมิใจไม่ได้ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสได้มาเที่ยวปราสาทแห่งนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เป็นแค่ตำนานนิยายปรำปราที่คุณพ่อเคยเล่าให้ดิฉันฟังตอนเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ปราสาทแห่งนี้เป็นมากกว่านิทานที่คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังเสียอีก
ดิฉันเห็นรอยยิ้มของญาติพี่น้องทุก ๆ คน รวมทั้งพระสี่องค์ที่มาเที่ยวกับพวกเราด้วย ก็อดตื่นตั้นใจไม่ได้ และก็ดีใจที่ตัวเองและแฟนมีโอกาสได้ชวนทุกคนมาเที่ยวมาสนุกด้วยกัน
หลาน ๆ ตัวเล็ก ๆ ดูยิ้มแย้มแจ่มใส่แข่งกันปีนบันไดปราสาท ส่วนดิฉันนั้นห่างเหินกับการใช้ชีวิตที่ลุย ๆ มานานแล้ว ทำให้ปีนเขาอยู่หลังเพื่อนตลอด นึก ๆ แล้วก็ยังอายตัวเองที่เคยแก่นแก้วแต่ตอนนี้กลับฤทธิ์หมดเสียแล้ว อิอิ ยิ่งได้เห็นคนแก่รุ่นอายุ 60 -70 ปีปีนเขาเก่งกว่าตัวเอง ดิฉันยิ่งรู้สึกอายตยิ่งนัก ก็ทำยังไงได้ละในเมื่อคุณยายบางคนท่านปีนเขาหาไข่มดแดงเป็นประจำ แต่ดิฉันนี่สิห่างจากชีวิตตรงนั้นมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว
บวกกับการมาเที่ยวปราสาทในครั้งนี้ดิฉันไม่ได้เตรียมตัวมามากนัก แถมยังใส่รองเท้าส้นสูงของพี่สาวมาด้วย ทำให้ปีนเขาลำบาก ในที่สุดก็จัดการถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเสียดีกว่า แต่ก็นับว่าโชคดีที่บริเวณปราสาทอากาศไม่ร้อนมากนัก ทำให้ดิฉันไม่มีปัญหาที่จะเดินเท้าเปล่าในการเที่ยวปราสาทครั้งนี้
พอไปถึงจุดที่ต้องปีนบันไดปราสาทที่สูงชัน ดิฉันก็นึกกลัวว่าจะตกลงมาเหมือนกัน พยายามที่จะไม่หันหน้าไปมองด้านล่างเพราะเกรงจะหน้ามืดตกลงไปได้ หลานสาวตัวเล็กๆ อายุประมาณ 6 ขวบนั้นก็ปีนป่ายปราสาทเก่งกว่าดิฉันเสียอีก ดิฉันกับแฟนชอบมองหลานคนนี้มาก ๆ เพราะเขาไม่พูดภาษาเขมรเหมือนหลาน ๆ คนอื่น ๆ เขาจะพูดภาษาไทยปนลาว (อีสานบ้านเรา) ตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดิฉันอดขำไม่ได้ หลานสาวคนนี้บอกให้ดิฉันมองดูเวลาที่เขาปีนปราสาท
“อาเล็กค่ะ...เบิ่ง แบ๋ม ๆ สิค่ะ ตั้งแต่ปีนบันไดมาแบ๋มบ๋เหนื่อยเลยค่ะ”
หลาน ๆ ส่วนใหญ่มักจะเรียกดิฉันว่าน้า/อาเล็กอยู่เสมอ เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว ดังนั้นจึงกลายเป็นน้า/อาเล็กไปโดยปริยาย
เมื่อดิฉันเห็นหลานสาวพูดแบบนั้น ก็อดขำไม่ได้ บางทีเวลาที่หลานคนนี้พยายามปีนปราสาทแต่เขาไม่ค่อยมีแรง เขาก็มักจะเอ่ยบอกพ่อของเขาว่า
“คุณพ่อขา....ช่วยดันตูดแบ๋มหน่อยสิค่ะ”
ดิฉันกับพี่สาวสองคนที่ปีนปราสาทตามหลังหลานคนนี้ ต่างก็อดขำไม่ได้ แต่ก็ไม่รอช้าที่จะทักท้วงเขา
“อะไรกัน อยู่กรุงเทพฯตั้งแต่เกิดพูดไทยปนลาว...เอาสักภาษาให้มันแน่สิจ๊ะ แบ๋ม” เมื่อถูกแซวหลานสาวคนนี้ก็ยิ้มอาย ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจคำทักท้วงของดิฉันมากนัก
หลานคนนี้ไม่ค่อยจะเหมือนใครเขา เพราะเธอชอบทานปลาจ๋อมปลาซิวเป็นชีวิตจิตใจ อาหารอะไร ๆ อร่อยแค่ไหนถ้าวางเคียงข้างปลาจ๋อมปลาซิว ไม่ต้องห่วงว่าเธอจะแย่งคุณทานอาหารชนิดอื่น ๆ เพราะปลาจ๋อมปลาซิวนั้นเป็นอาหารที่โปรดปรานของเธอ
บางครั้งดิฉันกับพี่สะใภ้ก็ชอบพากันหยอกพากันแซวหลานคนนี้เป็นประจำ
“ปกติดั้งก็หักอยู่แล้ว...ชอบจังเลยนะปลาจ๋อม” เวลาแซวหลานก็อดขำไม่ได้ เพราะหลานเขาก็ยิ้มอย่างเดียวไม่รู้ว่าเขารับรู้หรือเปล่า แต่คนที่แซวนี่สิอดขำไม่ได้
พอพวกเราทุกคนขึ้นไปบนปราสาทได้ ก็นั่งถ่ายรูปที่ระลึกกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็พากันไปนั่งพักชมวิวตรงหน้าผาระหว่างฝั่งไทยกับประเทศกัมพูชา บรรยากาศบนประสาทสวยงามมาก ไม่ร้อนจนเกินไปและก็มีลมเย็นพัดผ่านมาตลอด พี่น้องแต่ละคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส่กันตลอด เราทุกคนต่างนั่งจับกลุ่มคุยกัน ส่วนคนเฒ่าคนแก่ก็เล่าตำนานเรื่องเก่า ๆ ให้ได้ยินได้ฟัง เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกันเท่าไหร่ คนที่เห็นจะสนใจก็คงจะเป็นดิฉันและแฟนมากกว่า
ส่วนแฟนดิฉันนั้นก็ฟังไทยออกบ้าง แต่จับใจความไม่ได้มากนัก ดิฉันกับพี่น้องบางคนจึงจำเป็นต้องเป็นล่ามให้กับแฟนตลอด ได้แต่หวังว่าหากกลับบ้านรอบหน้าแฟนคงพูดฟังภาษาไทยออกกว่านี้ พอเราทุกคนเที่ยวชมปราสาทเขาพระวิหารกันอิ่มหน่ำสำราญใจแล้ว พวกเราก็พากันปีนลงจากปราสาท ซึ่งก็เห็นคนแก่คนเฒ่าเดินนำหน้าไปรอที่ต้นปราสาทอยู่แล้ว ดิฉันกับแฟนและพี่สาวสองสามคนอยู่หลังเพื่อนตามเคย
พอเที่ยวปราสาทกันหน่ำใจแล้ว ดิฉันกับแฟนและพี่น้องทุกคนก็พากันไปปีนผามออีแดงอีกรอบ รอบนี้ตั้งใจปีนไปดูหน้าผาตรงที่เขาบอกว่ามีการแกะสลักไว้ด้วย เนื่องด้วยจุดที่ดูหน้าผาตรงนั้นเป็นบันไดไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไปให้ปีนไปดู แต่ด้วยความที่ดิฉันเกิดกลัวความสูงขึ้นมา จึงจำเป็นต้องถอดรองเท้าอีกตามเคย ซึ่งพี่น้องแต่ละคนก็สงสัยว่าทำไมดิฉันต้องถอดรองเท้าอยู่คนเดียว เหตุผลของดิฉันก็คือ ถ้าบันไดมันพังลงมาจะได้ปีนป่ายได้ทัน เพราะดิฉันกลัวตกจากที่สูงและตาย หากจะตายก็ขอตายอย่างสบาย ๆ ไม่อยากตายอย่างทรมาน
พอเที่ยวชมถ่ายรูปที่ระลึกในผามออีแดงเสร็จแล้ว พวกเราทุกคนก็ลงมาจากเขา และก็ไปรอกันตรงจุดที่จอดรถเอาไว้ จากนั้นก็พากันไปนั่งรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารหน้าทางเข้าปราสาท ส่วนพระนั้นพวกเราก็สั่งเครื่องดื่มให้ท่าน เพราะพระคงจะฉันท์ข้าวไม่ได้ เพราะหมดเวลาฉันท์เพลเสียแล้ว
ดิฉันและญาติพี่น้องหลาย ๆ คนนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน และก็ขอชื่นชมคนทำอาหารว่าทำอาหารได้อร่อยมาก ๆ และราคาก็ถูกอกถูกใจคนจ่ายเหลือเกิน บริการต่าง ๆ ก็ดีมาก ๆ เลย เพราะพี่น้องดิฉันทั้งหมดก็ 26 คนได้ แต่อาหารนั้นมาวางบนโต๊ะได้ทันใจจริง ๆ ใครอยากเบิ้ลอยากทานอะไรเพิ่ม ดิฉันกับแฟนก็เต็มที่อยู่แล้ว สรุปแล้วทริปไปเที่ยวปราสาทเขาพระวิหารในครั้งนั้น มีความสุขกันถ้วนหน้า ดิฉันและแฟนรู้สึกอิ่มเอิบใจที่มีโอกาสได้พาคนเฒ่าคนแก่ญาติน้อง รวมทั้งพระมาเที่ยวมาชมเขาพระวิหารด้วย
พอกลับมาถึงบ้านก็เวลาประมาณหนึ่งทุ่มได้ ดิฉันมีนัดต้องไปต่อคอมพิวเตอร์ให้หลานสาวที่อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ดังนั้นดิฉันและพี่เขยอีกคน หลานสาว และหลานชายคนโต รวมทั้งหลานชายตัวเล็ก ๆ สองคนก็ไปด้วย พวกเราพากันขับรถขนคอมพิวเตอร์ไปที่บ้านของหลานสาวทันที เนื่องมาจากดิฉันจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 15 ปี มาเรียนมาทำงานอยู่กรุงเทพนานแสนนาน เวลามีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านก็ไม่เคยได้อยู่นานเลยสักครั้ง
ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ดิฉันไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวไร่เลยสักครั้ง ทำให้ดิฉันเห็นความเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาต่าง ๆ ในหมู่บ้านไปได้เร็วมาก เร็วไม่เร็วคิดดูป่าช้าเก่าก็กลายมาเป็นถนนหนทางที่ดูโล่งเตียนไปหมด ถนนหลังหมู่บ้านที่เคยรกร้างน่ากลัวในยามค่ำคืน ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ใหญ่กว่าเดิม และก็มีเสาไฟฟ้าเดินสายข้าง ๆ ถนนไปด้วย มีบ้านเรือนผู้คนขยับขยายมาสร้างบ้านกันมากขึ้น ทำให้หมู่บ้านของดิฉันดูครึกครื้นกันไปหมด
คืนนี้พี่เขยถือโอกาสพาดิฉันและหลาน ๆ ขับรถไปเส้นทางลัด นั่นก็หมายถึงถนนหลังหมู่บ้านนั่นเอง และก็ต้องวิ่งตัดป่าช้าเก่าด้วย ดิฉันกับหลานสาวนั่งด้านหน้ารถ ส่วนหลานชายทั้งสามคนก็นั่งด้านหลังรถเพราะคอยจับโต๊ะคอมและเครื่องคอมไม่ให้ล้มด้วย ดิฉันเห็นความเจริญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ส่วนพี่เขยนั้นก็ขับรถไม่ค่อยพูดค่อยจาตามนิสัยของเขา ในคืนนั้นดิฉันก็พูดยิ่งกว่านกแก้วนกขุนทอง เห็นอะไรก็ทักไปหมดจนลืมคำสอนเก่า ๆ ของคุณพ่อไปเสียหมด
พอรถของพี่เขยวิ่งผ่านตรงจุดที่เป็นไร่ของดิฉัน ดิฉันมองเห็นแสงไฟดวงใหญ่ ๆ มีสีสันหลากหลายลอยไปมาอยูระยะไกล ดิฉันก็อดตื่นเต้นไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านคน ที่มีการกินเลี้ยงและเอาไฟดิสโก้เธคมาติดเอาไว้ ดิฉันก็จ้องใหญ่เลยและก็ไม่รอช้าที่จะรีบบอกพี่เขยและหลานสาวให้ดูไฟดิสโก้เธค แถมยังบ่นพึงพำกับตัวเองว่า
“หมู่บ้านเรานี่เจริญจริง ๆ เลยนะคะพี่โย่ง นี่ขนาดในไร่ยังมีแสงไฟเต็มไปหมด แถมยังเป็นไฟดิสโก้เธคเสียด้วย นี่ถ้าไม่เห็นกับตาหนูไม่เชื่อเลยนะคะเนี่ย”
ดิฉันบ่นพึงพำอยู่กับตัวเองอยู่อย่างนั้น มองเห็นหลานสาวไม่พูดไม่จาได้แต่อมยิ้มกับความตื่นเต้นของดิฉัน ส่วนพี่เขยนั้นดูคร่ำเครียดกับการขับรถยิ่งนัก พอดิฉันเห็นพี่เขยเงียบแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามนั่นถามนี่ตามประสา
“พี่โย่ง...เห็นไฟดิสโก้เธคหรือเปล่า? เห็นติดกันแทบทุกบ้านเลย พี่โย่งว่าไหม บ้านเรานี่สุดยอดเลยเนาะ”
พี่เขยอมยิ้มแล้วบอกกับดิฉันว่า “ณัฐอย่าไปทัก...อย่าไปท้วง”
ทันทีที่ได้ยินพี่เขยพูดแบบนี้ดิฉันก็หุบปากทันที พลางนึกโกรธตัวเองที่ลืมคำสอนของคุณพ่อ และก็นึกกลัวขึ้นมาทันที เพราะถ้าพี่เขยพูดแบบนี้ก็แสดงว่าไฟนั้นไม่ใช่ไฟบ้านคนธรรมดาปกติทั่วไป
พอรถวิ่งมาถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง พี่เขยก็จอดรถตรงกลางหมู่บ้านที่ดูจะมีผู้คนอยู่บ้าง จากนั้นก็เดินออกไปถามหลานชายแต่ละคนว่าทุกคนปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งหลานชายแต่ละคนก็กำลังอยู่ในวัยซนเสียด้วย ทุกคนดูจะสนุกกับการห้อยโหนรถด้านหลังมากกว่ากลัวเรื่องผีเสียอีก
จากนั้นพี่เขยก็เล่าให้ดิฉันและหลานสาวฟังว่า ไอ้ไฟที่ดิฉันเห็นและคิดว่าเป็นไฟดิสโก้เธคนั้นมันไฟผีปอบต่างหาก ไฟดิสโก้เธคที่ไหนจะมาลอยกลางป่าไม่มีบ้านคน พอฟังพี่เขยพูดเสร็จ ดิฉันกับหลานสาวก็กลัวยกใหญ่เลย ดิฉันนี่สิกลัวกว่าหลานสาวเสียอีก ขอเปลี่ยนที่นั่งไปอยู่ด้านตรงแคบรถด้านในทันที ปล่อยให้หลานสาวกับพี่เขยนั่งหน้ารถกันสองคนเท่านั้น
พอรถวิ่งมาถึงบ้านพี่สาวคนโต หลานสาวก็รีบลงจากรถ ดิฉันก็ไม่รอช้ารีบลงจากรถขึ้นไปบนบ้านพี่สาวทันที ปล่อยให้หลาน ๆ และพี่เขยพากันยกของกันเอง ดิฉันยังขนลุกไม่หายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอไม่กี่นาทีที่ผ่านมา และก็ขึ้นไปไหว้พระบนบ้านพี่สาวอยู่นาน
จากนั้นก็มานั่งรอให้หลาน ๆ ยกของขึ้นมาบนบ้านให้เสร็จ โชคดีที่หลานชายคนโตรู้เรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ทำให้ดิฉันเบามือกับการต่อคอมพิวเตอร์และลงโปรแกรมไปเยอะ ส่วนหลานสาวนั้นก็หาน้ำหาท่ามาต้อนรับดิฉันด้วย และก็พาคุยนั่นคุยนี่ให้ดิฉันลืมเรื่องราวที่ผ่านมา แต่แปลกดิฉันกลับลืมไม่ได้เลย เวลาคิดถึงเรื่องนี้ทีไรขนลุกขึ้นมาทุกที
หลังจากที่พวกเราต่อและลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์เสร็จสรรพ พี่เขยก็เล่าเรื่องนี้ให้หลานชายทั้งสามคนฟังกัน จากนั้นพวกเราก็ขับรถกลับกันโดยที่หลาน ๆ แต่ละคนมานั่งข้างในด้วยกัน เพราะแต่ละคนต่างก็กลัวผีปอบไปตาม ๆ กัน และก็พากันมานั่งเบียดกันในเบาะข้างในรถ ดิฉันนี่สิเห็นจะกลัวกว่าหลาน ๆ เสียอีก และก็ถือสิทธิ์ความเป็นน้าขอนั่งกลางเสียเลย โดยที่มีหลานชายสองคนนั่งกั้นหน้ากั้นหลังให้ตลอด
ตั้งแต่เจอเหตุการณ์ในวันนั้น ดิฉันเองก็ไม่อยากเชื่อว่าผีปอบยังมีอยู่ แต่ก็ได้เล่าเรื่องราวให้พี่สาวทุกคนได้ทราบกัน พี่สาวคนที่อยู่ในหมู่บ้านดิฉันบอกว่าเดี๋ยวนี้ผู้ชายหลาย ๆ คนในหมู่บ้านลงไปเรียนวิชาคุณไสย์ที่ประเทศกัมพูชาเยอะมาก และแต่ละคนก็มาลองของลองวิชาในหมู่บ้านตลอด บางคนผิดครูผิดวิชาก็ผิดเพี้ยนเป็นบ้าไป บ้างก็เป็นปอบก็มี พี่สาวได้แต่เตือนให้ดิฉันระมัดระวังตัวให้มากขึ้น เพราะเรื่องเร้นลับแบบนี้ไม่เคยตายไปจากหมู่บ้านของดิฉันเลย มันมีอยู่ตลอดและก็ห้ามมองข้ามเรื่องแบบนี้เด็ดขาด