
เมื่อวานนี้ฉันไปทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และกลับมาถึงบ้านประมาณห้าโมงครึ่ง ที่บริษัทของฉันยุ่งเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงปลายเดือนที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ทำให้ลูกค้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ามากมาย พอกลับมาถึงบ้านก็รีบเตรียมอาหารไว้สามเมนู เพราะฉันนัดเพื่อนสนิทซึ่งทำงานอยู่แผนกบริการลูกค้ามารับประทานอาหารที่บ้าน ฉันเคยสัญญากับเพื่อนคนนี้ไว้เมื่อสองเดือนก่อน เมื่อใดที่ฉันมีวันว่างและทุกอย่างลงตัว ฉันจะเชิญเธอมาทานอาหารที่บ้าน โดยที่ฉันจะสอนวิธีทำอาหารไทยให้กับเธอด้วย
มาคีช่าเพื่อนสนิทของฉันเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ แม้จะทำงานคนละแผนกแต่เราก็ช่วยเหลือมีน้ำใจให้กันเสมอ พอประมาณหกโมงเย็นมาคีช่าก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน ฉันและคนรักวิ่งไปเปิดประตูต้อนรับเพื่อน เราสามคนช่วยกันทำอาหารและพูดคุยเรื่องราวสนุกสนานตามประสา พอรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ฉันชวนมาคีช่าไปชมสวนหลังบ้าน และก็ขุดเอาต้นสะระแหน่ให้เพื่อนได้เอาไปปลูกด้วย
เมื่อกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งก็ประมาณสองทุ่ม มาคีช่าบอกว่าอยากเห็นรูปงานแต่งงานของฉัน ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะพาเธอเข้าไปที่ห้องสมุดประจำครอบครัว ซึ่งก็เป็นห้องนอนที่ฉันและคนรักได้เปลี่ยนมาทำเป็นห้องสมุด โดยที่มีหนังสือและอัลบัมรูปทั้งของฉันและคนรักเก็บไว้ที่นั่น ฉันยอมรับว่ามีรูปสมัยวัยรุ่นและสมัยเด็ก ๆ เก็บไว้บ้าง แม้จะไม่เยอะเพราะไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปบ่อย แต่ทุกครั้งที่ได้ถ่ายรูป ฉันจะเก็บรูปถ่ายเก่า ๆ เอาไว้เสมอ
มาคีช่าบอกว่า ชอบรูปงานแต่งงานของฉัน แม้จะไม่หรูหราแต่ดูเรียบง่ายเหมือนวิถีชีวิตของฉันและคนรัก เธอชอบชุดไทยและภาพความสวยงามในเมืองไทย ซึ่งฉันในฐานะคนไทยก็ไม่ลืมที่จะชวนเชิญเพื่อนให้ไปเที่ยวเมืองไทยด้วย เมื่อดูรูปงานแต่งงานเสร็จก็พากันดูรูปชีวิตสมัยเด็ก ๆ ของฉัน มาคีช่าจ้องมองภาพของฉันและก็ถามแล้วถามอีก
"ใช่เธอเหรอนี่" มาคีช่าถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น เพราะในภาพตอนเด็ก ๆ ฉันตัวผอม ๆ และผิวแห้งกร้านเหมือนเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง
"ใช่จ๊ะ" ฉันตอบ ยิ้มรับ
"ไม่น่าเชื่อเลย เธอมาไกลเหลือเกิน" มาคีช่าตอบ
ฉันเข้าใจสิ่งที่เพื่อนบอกเป็นอย่างดี ชีวิตของฉันมาไกลกว่าที่ฝันไว้จริง ๆ เพราะสมัยเด็ก ๆ ฉันไม่เคยฝันว่าจะได้มาอยู่ต่างแดนเลย ฉันแค่ฝันพื้น ๆ ฝันเรียบง่ายแบบฉบับชีวิตสาวบ้านนาทั่วไป ไม่ได้ฝันที่จะมีชีวิตแบบนี้เลย ยอมรับว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอคนรักที่ดีที่สุด ที่คอยดูแลใส่ใจให้ความรักความอบอุ่นแก่ฉัน ช่วยเติมเต็มชีวิตที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ที่สุด ทุกวันนี้ฉันก็ยังขอบคุณฟ้าดินอยู่ตลอด
มาคีช่ากับฉันคุยกันหลายอย่าง เราสองคนดูรูปไปพลาง ๆ ฉันเอาอัลบัมรูปสมัยทำงานที่บริษัทโซนี่ให้เพื่อนรักดู และก็เล่าเรื่องราวชีวิตให้เพื่อนรักฟัง มาคีช่ากอดคอฉันให้กำลังใจไม่เคยขาด เธอบอกฉันว่า การเป็นคนดีที่เสมอต้นเสมอปลายทำให้พระเจ้าช่วยเหลือคุ้มครองฉันตลอด
แม้ฉันจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่ฉันก็นับถือในสิ่งที่เพื่อนรักเชื่อและศรัทธา เราสองคนคุยกันหลายอย่าง ให้กำลังใจกันและกัน ฉันเล่าเรื่องเพื่อนในกลุ่มสมัยทำงานในโซนี่ให้มาคีช่าฟัง และก็โชว์รูปเพื่อนชายคนหนึ่งให้เพื่อนรักได้ดู ซึ่งเพื่อนชายคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่อัตนั่นเอง ซึ่งพี่อัตได้มอบภาพงานรับปริญญาไว้ให้ฉันเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
"คนนี้เป็นเพื่อนกับเราเองแหละ พวกเราทำงานด้วยกัน เที่ยวกินด้วยกัน แต่เราไม่เคยรู้ว่าเขารักเรามากกว่าคำว่าเพื่อน"
มาคีช่าเพ่งดูรูปพี่อัตให้ชัด ๆ "หน้าตาก็หล่อนะณัฐ เธอหักอกเขาได้ยังไงเนี่ย " และก็เอ่ยปากชมไปด้วย
ฉันยิ้มสดใส มองหน้าเพื่อนสนิท ไม่รู้ว่าพี่อัตหน้าตาดีไหม เพราะเวลาคบเพื่อนฉันไม่ได้ดูที่รูปหน้าและความหล่อ ฉันเพียงคบเพื่อนที่ดีและมีความจริงใจเท่านั้น
"ขอบคุณมากจ๊ะ เราชอบพี่เขาตรงที่ดีกับเราเสมอต้นเสมอปลาย เรายอมรับว่าเราไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากเพื่อนและพี่ชาย"
"สรุปเธอหักอกผู้ชายคนนี้ใช่ไหมเนี่ย" มาคีช่าถาม
"ก็ไม่เชิงหักอก เราแค่บอกความจริงเท่านั้น เพราะเราไม่ชอบหลอกใครนะ ถ้าไม่รักก็บอกตรง ๆ ไม่อยากมีปัญหาทีหลัง สงสารเขาด้วย"
"ก็จริงของเธอแหละ"
หลังจากที่ดูรูปกันจนถึงสี่ทุ่ม มาคีช่าก็ขอตัวกลับบ้าน แต่ก่อนกลับบ้านฉันก็ช่วยเธอตักอาหารที่ทำด้วยกันใส่กล่องให้เธอได้นำกลับไปรับประทานที่บ้านด้วย จากนั้นก็เดินมาส่งเธอที่หน้าบ้าน
พอเพื่อนรักกลับไปแล้ว ฉันก็กลับเข้ามาภายในบ้านกับคนรัก เราสองคนนอนดูทีวีด้วยกันสักพัก จากนั้นฉันก็ขอตัวทำงานเขียนตามเคย ฉันเปิดเพลง "คนไม่สำคัญ" ของ "พลพล" ฟังไปพลาง ๆ บทเพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันและเพื่อน ๆ ที่ทำงานในบริษัทโซนี่ชอบเป็นอย่างมาก เวลาเข้ากะดึกพวกเราจะฟังเพลงช่วงที่พักรับประทานอาหาร ซึ่งแต่ละเพลงในยุคนั้นช่างกินใจเสียเหลือเกิน และบทเพลงคนไม่สำคัญเก็บซ่อนความทรงจำเก่า ๆ ของฉันเอาไว้ โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งที่ดีที่สุดที่เคยเข้ามาในชีวิตของฉัน แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ฉันยังจำเรื่องราวตรงนั้นได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่ฉันได้เข้าไปทำงานในบริษัทโซนี่ ฉันเริ่มรู้จักเพื่อน ๆ หลายคน และก็มีเพื่อนชายที่สนิทกันเพียงสองคนเท่านั้น เพื่อน ๆ สาวส่วนใหญ่เรียนจบ ปวส. รุ่นราวคราวเดียวกับฉัน แต่ละคนมีอายุไล่เลี่ยกัน ส่วนเพื่อนชายทั้งสองคนรวมทั้งพี่อัตเพิ่งจะจบปริญญาตรีมาหมาด ๆ ชีวิตในสังคมโรงงานแห่งนี้เป็นอะไรที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก ฉันเริ่มสนิทกับเพื่อน ๆ ทุกคน ซึ่งเวลาไปไหนก็มักจะไปด้วยกันตลอด โดยที่มีพี่อัตกับเวศน์เป็นเพื่อนชายในกลุ่มคอยติดตามไปทุก ๆ แห่ง
เพราะความสนิทที่มีให้กันมาตลอด ฉันเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่อัตรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนที่ฉันรักและนับถือเหมือนพี่ชายมาตลอดจะคิดเกินคำว่าเพื่อนกับฉัน พี่อัตเป็นผู้ชายที่น่ารักและช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือว่าเรื่องปัญหาต่าง ๆ ฉันมักจะพูดคุยปรึกษากับพี่อัตเป็นประจำ ความรู้สึกของฉันที่มีให้พี่อัตมีแต่คำว่าเพื่อนและพี่ชายเท่านั้น ไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านี้
ในตอนแรกฉันก็คิดว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มหยอกแซวเล่น ๆ แต่พอถูกแซวบ่อย ๆ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคั้นเอาความจริงให้ได้
“พี่อัตคิดกับณัฐแบบที่เพื่อนเขาแซวหรือเปล่าคะ”
พี่อัตไม่ตอบฉัน แต่อมยิ้มอย่างมีความสุข ทิ้งความค้างคาใจให้ฉันหลายอย่าง ฉันไม่ได้รักพี่อัตแบบนั้น และก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดเกินเลย ยอมรับหัวใจของฉันรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่มาก และไม่เคยคิดนอกใจเขาเลย เมื่อพี่อัตไม่ยอมรับและไม่พูดอะไร ฉันจึงจำเป็นต้องพูด
“ณัฐรักพี่อัตแบบพี่ชายและเพื่อนเท่านั้น พี่อัตอย่าทำให้ณัฐอึดอัดใจเลยนะคะ ณัฐไม่อยากให้เพื่อน ๆ ต้องพูดแซวแบบนี้บ่อย ๆ ณัฐไม่ชอบค่ะ”
คำตอบของฉันทำให้พี่อัตนั่งหน้าเศร้าเสียนาน พอเวลาผ่านไปนานหลายนาที พี่อัตก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากนิด ๆ แม้ว่าใบหน้าและแววตาจะเต็มไปด้วยความหมองเศร้า แต่พี่อัตก็คงทำใจยอมรับความจริงให้ได้
“พี่ขอโทษครับ ต่อไปพี่จะไม่ทำให้ณัฐอึดอัดใจอีกแล้ว พี่สัญญาว่าจะเป็นพี่ที่ดีกับณัฐ แต่ถ้าเมื่อใดที่ณัฐเจ็บปวดเสียใจ เมื่อใดที่ณัฐต้องการคนปลอบใจ ขอให้ณัฐบอกพี่เป็นคนแรกนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่พี่ดีกับณัฐตลอด”
ฉันดีใจที่ได้เคลียร์ปัญหาคาใจกับพี่อัต และดีใจที่พี่อัตเข้าใจความรู้สึกของฉัน ความเป็นเพื่อนระหว่างฉันและพี่อัตยังคงเป็นเหมือน ถึงแม้พี่อัตจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด แต่ฉันเชื่อว่าพี่อัตเองก็มีความสุขที่ได้รักและเป็นเพื่อนในกลุ่มกับฉัน และอาจจะมีความสุขที่ได้รักและดูแลฉันอยู่ห่าง ๆ โดยที่ฉันเองไม่ต้องตอบแทนค่าความรักอะไรจากเขา เพียงแต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาเสมอต้นเสมอปลาย แค่นี้ก็คงทำให้พี่อัตสุขใจอยู่มากทีเดียว
ฉันเองก็เริ่มสนิทกับเพื่อนสาวคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ชื่อว่า พี่ไหม ซึ่งเกิดและเติบโตจากภาคอีสานเช่นเดียวกับฉัน พี่ไหมอายุมากกว่าฉันหนึ่งปีและก็เป็นเพื่อนที่น่ารักแถมนิสัยดีกว่าเพื่อน ๆ ผู้หญิงหลายคนในกลุ่ม เธอมักจะสนิทสนมกับฉันเป็นพิเศษ ความสนิทสนมที่มีให้กันเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้พี่ไหมเริ่มเล่าเรื่องราวความรักที่ผิดพลาดของเธอให้ฉันได้ฟัง และฉันเองก็เปิดอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังบ้าง
“เราสองคนเหมือนกันเลยนะณัฐ ถึงว่าณัฐและพี่จึงได้เป็นเพื่อนกัน”
“สงสัยมั้งคะ”
“ต่อไปเวลาจะรักใคร พวกเราก็ต้องระมัดระวังบ้างแล้วแหละ ว่าแต่ณัฐเหอะ ตั้งใจจะรอคนรักหรือเปล่า หรือว่ามีใครอยู่ในใจ”
“ก็เคยคิดจะรอค่ะ จะรอดูว่าเขาเปลี่ยนตัวเองไหม หากเขาไม่เปลี่ยนก็ค่อยว่ากันใหม่ ความจริงแฟนเก่าณัฐก็เลิกกันตั้งแต่เรียนจบ จะว่าไปแล้วก็ต่างคนต่างไป เขาก็คงจะมีคนรักใหม่ และอาจจะไม่มีวันกลับไปคืนดีกันก็ได้ เพราะณัฐเองก็หมดรักเขาไปแล้ว”
“พี่เข้าใจจ้า แต่จะว่าไปแล้ว ณัฐก็มีหนุ่ม ๆ มาจีบเยอะนะ ว่าแต่ไม่ชอบพี่อัตบ้างเลยเหรอ”
“ยี้....พี่ไหมไม่ต้องพูดเลยนะคะ พี่อัตนั้นเป็นได้แค่พี่ชายและเพื่อนเท่านั้น ณัฐรักใครไม่ได้หรอก ยังทำใจรักใครไม่ได้จริง ๆ”
“จริงหรือเปล่า" พี่ไหมย้อนถามอีกครั้ง แถมจ้องตาฉันไปด้วย
"ขอไม่บอกนะคะ เรื่องความรัก บางครั้งก็อยากเก็บซ่อนไว้คนเดียวเงียบ ๆ ค่ะ"
"แบบนี้ต้องมีใครอยู่ในใจแหง๋ ๆ เลย แต่จะว่าไป พี่อัตก็น่าสงสารนะ ดูเขาจะห่วงใยณัฐมาก ๆ เลยนะ เวลางานมีปัญหา หรือพวกเราไม่มีตังค์กินข้าว พี่อัตจะคอยช่วยเหลือแบ่งปันตลอดเลย”
“พี่ไหมคะ ความรักกับความสงสารมันต่างกันนะคะ ถ้าณัฐจะรักผู้ชายสักคน ณัฐก็รักเขาด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่อยากรักเขาเพราะความสงสาร มันไม่แฟร์กับเขาเลยนะคะ”
ฉันยอมรับว่าไม่สามารถรักพี่อัตได้ แม้ว่าพี่อัตจะดีกับฉันแค่ไหน แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าความรักไม่ควรจะถูกรวมกับความสงสาร เมื่อพูดถึงเรื่องความสงสาร ก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนุ่ม ผู้ชายคนหนึ่งที่รักและห่วงใยฉันมาก ซึ่งก็แปลกที่เวลาผ่านไปหลายปีฉันก็ยังไม่ลืมเขาเลย เพราะเขาเป็นคนดีที่ฉันไม่ควรลืม
ชีวิตการทำงานของฉันยังมีความสุขเหมือนเดิม ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการทำงานจากบริษัทแห่งนี้ และตั้งใจไว้ว่าจะมองหางานในตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยที่มีเพื่อนสนิทคอยบอกคอยให้คำแนะนำเรื่องตำแหน่งงานต่าง ๆ ที่เปิดรับในช่วงนั้น ฉันเองก็ไม่ได้นิ่งดูดายกับชีวิตในวันข้างหน้า ยังคงทำงานและวางแผนชีวิต ฉันอยากจะสมัครเรียนแต่ก็ยังเรียนไม่ได้ เพราะตำแหน่งงานที่ทำในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเลยสักนิด
บริษัทที่ฉันทำงานอยู่มักจะมีกิจกรรมดี ๆ ให้พนักงานได้สนุกเป็นประจำ ปีใหม่นี้ทางบริษัทมีการนำพาพนักงานไปเลี้ยงฉลองที่จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งก็มีอาหารการกินหลายอย่างเตรียมพร้อม มิเพียงเท่านั้นก็มีการแสดงต่าง ๆ ที่คอยให้ความสุขแก่พนักงานทุก ๆ คน ในบริษัทที่ฉันทำงานอยู่นั้นมีพนักงานประมาณสองพันกว่าคน ฉันและเพื่อน ๆ เป็นน้องใหม่ในบริษัทแห่งนี้ จึงไม่แปลกที่ต่างคนต่างก็ตื่นเต้นกับกิจกรรมของบริษัททุกครั้ง
ปีนี้ทางบริษัทได้กำไรเยอะมาก จึงได้พาพนักงานทุกคนไปฉลองปีใหม่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งในงานมีการประกวดคาวบอยคาวเกิร์ลเสียด้วย พนักงานสาวแต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นไม่น้อย ฉันกับเพื่อน ๆ สาวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ละคนต่างก็สรรหาชุดสวย ๆ เพื่อที่จะใส่ไปร่วมงานในครั้งนี้
ในวันเดินทางไปเที่ยวกับบริษัท ฉันได้โทรเล่าเรื่องราวให้พี่สาวคนรองได้ทราบเสียก่อนแล้ว โดยที่พี่สาวไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ หลายคน โดยที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ค่อยดูแลในงาน คืนนั้นฉันและเพื่อน ๆ พากันเดินเข้าไปในงานเลี้ยง แต่แปลกฉันกลับถูกพี่ ๆ ฝ่ายสต้าฟของงานเลี้ยงจับให้ฉันเข้าประกวดมิสคาวเกิร์ลเสียด้วย ในตอนแรกฉันรู้สึกงงและไม่ยอมรับ เพราะตั้งแต่เกิดมาในชีวิตไม่เคยขึ้นเวทีประกวดอะไรกับเขา รู้สึกไม่คุ้นเคยและอายตัวเองไม่น้อย เกรงว่าตัวเองจะทำให้เพื่อน ๆ ในแผนกผิดหวัง
แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอจากพี่ ๆ และเพื่อนสนิท ฉันจึงตัดสินใจลองสักครั้ง ด้วยหัวใจที่คิดถึงคำพูดของอดีตคนรัก ซึ่งมักจะบอกว่าฉันขี้เหร่อย่างงั้นอย่างนี้ ฉันเองก็อยากรู้ว่าตัวเองขี้เหร่จริงหรือไม่ ดังนั้นการได้ขึ้นเวทีประกวดแข่งกับสาว ๆ หลายคน ถือว่าเป็นเวทีที่ฉันได้แสดงความสามารถและได้เรียนรู้จักตัวเองมากขึ้น
ในคืนนั้นฉันเองก็ไม่เคยคิดหรอกว่าชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ เพราะคนที่เข้ามาประกวดมิสคาวเกิร์ลส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ หน้าตาดีทั้งนั้น แต่พอกรรมการนับคะแนนต่าง ๆ ที่ได้รับ ปรากฏว่าฉันได้คะแนนนำลิ่วกว่าสาว ๆ คนอื่น ๆ
ฉันยอมรับว่าดีใจภูมิใจกับรางวัลที่ตัวเองได้รับ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่น้องใหม่ ไม่น่าจะได้รางวัลนี้เลย ฉันรู้ตัวเองดีกว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตาสวยเหมือนกับคนอื่น ๆ จึงไม่รู้ว่าความสวยความน่ารักหรือว่าความมีมิตรไมตรีที่ดีในตัวฉัน ส่งผลให้ฉันได้รับรางวัลนี้มาครองกันแน่ ฉันรู้แต่เพียงว่ารู้สึกตื้นตันใจกับน้ำใจที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนที่โหวตคะแนนให้กับฉันเป็นอย่างมาก
หลังจากที่รับรางวัลเสร็จแล้ว เสียงปรบมือจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ และแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของบริษัทดังก้องทั้งงาน เวลาในตอนนั้นไม่ต่างกับหญิงสาวที่ขึ้นประกวดเวทีนางสาวไทยเลย ความดีใจที่ได้รับทำให้น้ำตาซึมเปื้อนรอยยิ้ม เกิดมาในชีวิตไม่เคยต้องอยู่บนเวทีให้ผู้คนนับพันจับตามองมาที่ตัวฉัน เป็นความรู้สึกแปลกที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ฉันยอมรับว่าหลังจากที่ชนะเลิศการประกวดมิสคาวเกิร์ล ฉันก็มักจะถูกรุ่นพี่จับตามองเป็นพิเศษ ฉันไม่ชอบสายตาของรุ่นพี่ผู้หญิงบางคน เพราะสายตานั้นไม่ใช่สายตาแห่งความยินดีที่ฉันได้รับรางวัลในครั้งนี้ แต่สายตาพวกนั้นเป็นสายตาแห่งความหมั่นไส้ผสมความอิจฉาริษยา คืนนั้นฉันเริ่มเรียนรู้ว่า การที่ต้องกลายมาเป็นดาวของบริษัท ทำให้ฉันพบกับเรื่องราวที่ดีและไม่ดีหลายอย่าง สิ่งแรกที่ฉันจำได้ไม่ลืมก็คือเพื่อนสนิทคนหนึ่งเดินมาหาฉัน
“ไม่น่าเชื่อนะว่าคนที่เคยมีผัวจะชนะขาดสาว ๆ พวกนี้”
น้ำเสียงว่าแดกว่าดันของเพื่อนสาวคนหนึ่ง ทำให้ฉันหันไปมองด้วยความแปลกใจ เพราะเพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้เกี่ยวกับตัวฉันมาก่อน คืนนั้นพี่อัตยืนอยู่เคียงข้างกับฉัน และรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาที่เห็นแหวนพูดกระทบกระแทกฉันอย่างนั้น
“แหวน จะพูดจะจาอะไร ก็ระวังปากหน่อยเถอะนะ พี่ขอร้อง” พี่อัตปรามเพื่อนสาว
แหวนกินเหล้าไปหลายแก้ว คงจะเมาและได้ยินเรื่องราวของฉันจากพี่ไหม เธอถึงได้พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้ตัวและจงใจพูดเพื่อความสะใจในความรู้สึกของเธอ
“พี่อัตก็ปกป้องมัน ยังไม่เข็ดอีกเหรอ”
วันนั้นฉันยอมรับว่าไม่พอใจคำพูดของแหวนเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าฤทธิ์น้ำเมาจะทำให้เพื่อนกลายเป็นคนละคน
“ทำไมแหวนพูดยังงี้ล่ะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“หรือว่าเราพูดไม่จริงณัฐ เธอนะเคยมีผัวมาแล้ว จะหลอกใครนะหลอกได้ แต่อย่าหลอกตัวเองเลย รู้หรือเปล่า พี่ไหมนะเล่าให้เราฟังหมดแล้ว”
“เราไม่ได้หลอกใครหรอกแหวน เราไม่เคยคิดที่จะโกหกใครว่าเราเคยผิดพลาด แต่เราไม่เคยแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น แต่ถ้ามีใครสักคนถาม เราก็จะบอกความจริง และมันเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตของเราที่เกิดมาจากความไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก ถ้าเราเลือกได้ เราก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น เราอยากจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายสำหรับผู้ชายที่เรารักและรักเราจริง ๆ เพียงแต่เรารู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราวชีวิตให้ใครฟัง นอกจากผู้ชายที่เรารักและจะแต่งงานด้วยเท่านั้น”
“นั่นนะสิแหวน เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของณัฐ ทำไมแหวนมาว่าณัฐแบบนี้ พี่ว่าแหวนทำไม่ถูกนะ ไร้สาระมาก ๆ เลย” พี่อัตไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแหวน
“ปกป้องมันเข้าไป มันทำให้พี่เจ็บ ยังไม่จำอีกเหรอ...พี่อัต” แหวนไม่หยุด และยังคงต่อว่าฉันและพี่อัต
“แหวน พี่จะบอกอะไรให้แหวนรู้ไว้นะ ผู้ชายอย่างพี่นะ ถ้าจะรักใครสักคน พี่ไม่เคยสนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน ผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ครั้ง หากพี่รักเขา พี่ก็รักทุกอย่างที่เป็นเขา”
พี่อัตบอกหนักแน่น ชัดเจน ซึ่งก็ทำให้แหวนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ฉันหันไปมองหน้าพี่ไหม ซึ่งนั่งกินเหล้ากับเพื่อนสาวและเพื่อนทอมอย่างสนุกสนาน ฉันไม่คิดเลยว่าความไว้ใจที่ฉันมีให้พี่ไหมนั้น พี่ไหมจะเอาเรื่องของฉันไปเล่าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง คืนนั้นฉันยอมรับว่า เริ่มเข้าใจสิ่งที่พี่สาวเคยบอกเตือนเอาไว้ ในบางครั้งอดีตมันทำร้ายความรู้สึกของฉันจริง ๆ วันนั้นฉันรู้สึกเจ็บในหัวใจเป็นอย่างมาก แต่แปลกฉันไม่ได้โกรธเคืองพี่ไหมเลย ฉันกลับโทษตัวเองมากกว่าที่เชื่อคนง่ายและคุยเรื่องราวตัวเองให้เพื่อนฟัง ต่อไปนี้ฉันเองต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
หลังจากเหตุการณ์งานเลี้ยงผ่านไป ฉันกับพี่ไหมก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม พี่ไหมได้ขอโทษฉันกับความเผลอตัวพูดเรื่องของฉันให้กับแหวนฟัง เพราะคิดว่าแหวนเป็นเพื่อนในกลุ่มจึงได้ไว้ใจ และก็ไม่คิดว่าแหวนจะพูดจาแบบนี้ แต่ท้ายที่สุดพี่ไหมก็ได้เรียนรู้ว่าเพื่อนในกลุ่มนั้น สามารถไว้ใจได้กี่คน แม้ว่าแหวนจะไม่ดีกับฉันมากนัก แต่ฉันก็ยังคบและนั่งทานข้าวด้วยกันเป็นประจำ ส่วนพี่อัตและเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันก็ยังคบเป็นเพื่อนอยู่เสมอ
ฉันยอมรับว่าเป็นคนที่ขี้สงสาร หากเคืองใครสักคนก็คงทำได้ไม่นาน พอเห็นเขามาทำดีด้วย ฉันก็ลืมความเจ็บปวดต่าง ๆ และก็พยายามให้อภัยเพื่อนมาตลอด
แหวนกับเพื่อนสนิทคู่ซี้ที่ชื่อหญิงยังคงเป็นเพื่อนสาวที่ชอบว่าแดกว่าดันให้ฉันมาตลอด ส่วนพี่ไหมกับพี่อัตก็เป็นเพื่อนที่คอยปลอบโยนไม่เคยเปลี่ยน จนมาวันหนึ่งหนุ่มรุ่นพี่ที่แหวนแอบชอบมานานหลายเดือนเดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน และก็ถามเกี่ยวกับตัวงานในส่วนงานของฉัน ซึ่งแหวนเองก็ได้แสดงกิริยาไม่ค่อยพอใจมากนัก เธอจึงเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“พี่เอก จะคุยเรื่องงานเหรอพี่ มีอะไรถามแหวนได้นะคะ”
พี่เอกหัวเราะหึ ๆ
“ครับ พอดีพี่อยากรู้ว่างานโมเดลตัวใหม่ที่เข้ามา มีตัวบอร์ดประกอบเหลือเยอะไหม เพราะพี่ต้องขนงานไปให้จุดที่ณัฐทำงานเสียด้วย”
“คุยเรื่องงานอย่างเดียวเหรอคะ ระวังนะจะถูกไอ้ณัฐใส่เสน่ห์เอา”
พี่เอกสบตาฉัน ทำหน้าลึกลักและมีกิริยาท่าทางที่เขินอายอยู่นิด ๆ แถมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับคำพูดของแหวน
“อย่างณัฐเขาไม่ต้องใส่เสน่ห์หรอกครับ ทุกวันนี้เขาก็มีเสน่ห์อยู่แล้ว จริงไหมครับพี่เอก” พี่อัตตอบแทน และก็เดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน แถมส่งยิ้มให้ฉันอีกต่างหาก
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แฮ่ะ ว่าจะจีบสักหน่อย กลัวถูกมนต์เสน่ห์ เกรงว่าจะถอนตัวไม่ขึ้น”
พี่เอกพูดหยอกเล่น และก็หัวเราะสนุกสนานเหมือนกับเรื่องที่คุยเป็นเรื่องตลกมากกว่า
ฉันกลั้นหัวเราะแทบจะไม่อยู่ นึกขำเรื่องมนต์เสน่ห์ที่เพื่อน ๆ เอามาหยอกมาแซวฉันตลอด และก็หันไปยิ้มให้พี่อัตทันที รู้สึกดีใจที่ทุกครั้งที่มีปัญหา พี่อัตมักจะช่วยดูแลและปกป้องฉันตลอด
“พี่เอกอย่าไปจีบมันเลยนะ ไอ้ณัฐนะมีแฟนแล้ว จีบแหวนก็ได้นะพี่ แหวนนะยังโสดและสดด้วยแหละ”
ฉันหยุดยิ้มทันที หันไปมองหน้าแหวน เห็นใบหน้าที่ยิ้มร่าและเชิดหน้าใส่ รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก หากแหวนจะรักใครสักคนก็รักไป ฉันไม่เคยหึงหวงเลยสักนิด ไม่เคยอิจฉาเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่เข้าใจทำไมเพื่อนต้องเอาเรื่องในอดีตของฉันมาบอกย้ำให้ผู้ชายทุก ๆ คนฟังด้วย แหวนคงไม่เคยรู้หรอกว่า ใจที่แท้จริงของฉันรู้สึกอย่างไร ต่อให้วันนี้หรือพรุ่งนี้มีผู้ชายเป็นร้อย ๆ มาจีบมาชอบ ฉันก็ไม่เคยคิดจะรักและลงเอยกับใครเลย เพราะฉันรู้ว่าผู้หญิงอย่างฉันควรจะรักผู้ชายแบบไหนได้บ้าง
“แหวนไม่ต้องห่วงหรอกนะ ณัฐรักใครไม่ได้หรอก” ฉันตอบแหวน ลุกขึ้นพรวดพราดเดินออกไป โดยที่มีพี่ไหมเดินตามหลังมาติด ๆ
พี่ไหมพาฉันมานั่งคุยกันในมุมแคบ ๆ ในไลน์การผลิต ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาการทำงาน
“ณัฐไม่ต้องไปเสียใจเลย ไอ้แหวนก็ปากหมาแบบนี้แหละ มันคงจะกลัวว่าพี่เอกจะจีบณัฐล่ะมั้ง มันเลยทำตัวเป็นหมาหวงก้าง” พี่ไหมปลอบฉัน
“แต่ณัฐไม่ได้คิดอะไรเลย พี่ไหมก็รู้ว่าณัฐไม่ได้รักใครเลย”
“พี่รู้ แต่พวกไอ้แหวนมันไม่ได้คิดอย่างณัฐนะสิ มันคงจะไม่ชอบที่ผู้ชายหันมามองและพูดคุยกับณัฐบ่อย ๆ”
“ก็คุยกันเรื่องงานทั้งนั้น บอกตรง ๆ ณัฐเบื่อคะพี่ไหม อยากจะไปหางานที่อื่นทำ”
ฉันยอมรับว่าวันนั้นรู้สึกเบื่อจริง ๆ เบื่อชนิดที่ว่าอยากจะลาออกจากงานและไปหางานทำที่อื่น ฉันไม่ชอบชีวิตที่ต้องอยู่อย่างนี้ รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เออ...พี่ก็กำลังคิดเหมือนกัน ว่าง ๆ ไปสมัครงานแถว ๆ นวนครด้วยกันไหม เผื่อมีตำแหน่งงานดี ๆ เปิดรับบ้าง”
“ก็ดีค่ะ ณัฐก็อยากทำงานเหมือนที่ตัวเองเรียนจบมาเหมือนกัน”
ตลอดเวลาที่ทำงานในบริษัทแห่งนี้ ฉันยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนหันมามอง ฉันรู้ว่าสายตาที่เขามองฉัน ไม่ใช่ความสวยงามแต่อย่างใด สิ่งที่เขามองอาจจะเป็นเรื่องราวในอดีตของฉันมากกว่า ในบางครั้งฉันก็ไม่ชอบผู้จัดการผู้ชาย ที่ชอบมายืนพูดคุยกับฉันบ่อย ๆ ซึ่งถ้าพูดคุยกันเรื่องงานอย่างเดียวฉันจะไม่ว่าอะไร แต่ผู้จัดการคนนี้มักจะชวนคุยนอกเรื่องและทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่กับฉันเป็นประจำ ทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจไม่น้อย การเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใช่จะเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอไป หากไม่ฉลาดคิดไม่ทันไหวพริบของเหล่าเสือสิงห์ ฉันก็อาจจะพลาดพลั้งอีกครั้งก็เป็นได้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันกับพี่ไหมและเพื่อนสาวอีกคนก็พากันไปสมัครงานกับบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในนวนคร ฉันถูกเรียกไปสัมภาษณ์สองครั้งและก็ได้งานตำแหน่งเสมียนคลังสินค้า ส่วนเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งก็ได้งานพนักงานฝ่ายผลิตในบริษัทเดียวกับฉัน ทางด้านพี่ไหมนั้นไม่ได้รับการตอบรับงานจากที่ใด และก็ยังคงทำงานอยู่ที่บริษัทเก่า หลังจากที่ได้งานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ช่วงระหว่างที่รอการเริ่มทำงาน ฉันก็ไปลาออกจากงานเก่าทันที และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้จัดการผู้ชายสองต่อสอง ฉันรู้สึกอึดอัดและวางตัวลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ที่บริษัทของเราก็มีตำแหน่งนี้เปิดสมัครภายในบ่อย ๆ น้องไม่เห็นต้องลาออกเลยนี่ครับ”
ผู้จัดการหนุ่มนั่งคุยกับฉัน เขายังคงไม่ยอมเซ็นใบลาออกให้ฉัน และก็สอบถามฉันทุกอย่างอยู่อย่างนั้น
“คงไม่ได้หรอกค่ะ พอดีหนูอยากไปทำงานที่นั่น จะได้อยู่ใกล้ ๆ พี่สาว”
ฉันแอบอ้างเรื่องพี่สาวให้ผู้จัดการได้ยิน ซึ่งคิดว่าคงเป็นคำตอบที่ช่วยฉันได้มากที่สุด
“บริษัทของเราสวัสดิการดีหลายอย่าง ขึ้นชื่อติดอันดับของเมืองไทย ถ้าน้องออกจากงานอย่างนี้ น้องไม่เสียดายเหรอครับ จะเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะครับ”
“ไม่เสียดายหรอกค่ะ ถึงทำไป หนูก็อยู่แค่ตำแหน่งพนักงานไลน์ผลิตเท่านั้น ไปเริ่มงานใหม่เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ดีกว่าค่ะ”
“ถ้าอยากทำงานตำแหน่งดี ๆ กว่านี้ พี่พอจะพูดคุยกับผู้ใหญ่ได้นะครับ ไม่ลองดูสักครั้งล่ะครับ”
“คงไม่หรอกค่ะ เพราะหนูรับปากทางบริษัทใหม่ไว้แล้ว”
“รับปากก็ปฏิเสธได้นี่ครับ เรื่องงานเรามีสิทธิ์เลือกนี่ครับ”
ผู้จัดการหนุ่มยังคงพูดคุยเหมือนเดิม ฉันเองก็ไม่เข้าใจทำไมเขาต้องคะยั้นคะยอให้ฉันทำงานอยู่ที่นี่ ทั้งที่งานใหม่ที่ฉันจะไปทำ ตำแหน่งก็ตรงกับที่ฉันจบมาเสียด้วย แถมค่าตอบแทนก็สูงกว่ามากทีเดียว
“ไม่หรอกค่ะ ยังไงก็รบกวนพี่ช่วยเซ็นใบลาออกให้หนูด้วยนะคะ พอดีหนูรีบกลับบ้านค่ะ มีธุระต้องไปทำต่อ”
ผู้จัดการยื่นนามบัตรให้ฉัน “หากมีอะไรอยากให้พี่ช่วย ก็ติดต่อพี่ได้ตลอดนะครับ”
ฉันมองหน้าเขา รู้สึกงงที่อยู่ดี ๆ ผู้จัดการหนุ่มก็ส่งนามบัตรมาให้ แต่เพราะคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย จึงรับเอาไว้ตามมารยาท พร้อมประนมมือไหว้กล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
“ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาพี่ได้ตลอดนะครับ ไม่จำเป็นต้องเรื่องงานหรอก เรื่องอื่น ๆ ก็ได้ครับ”
วันนั้นฉันรู้สึกอึดอัดใจมากที่สุด ไม่เข้าใจทำไมการลาออกจากงานในครั้งนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน ทำไมฉันต้องนั่งตอบคำถามต่าง ๆ นานาที่ไม่อยากคุย ไม่เข้าใจทำไมผู้จัดการถึงมีน้ำใจอยากช่วยนั่นช่วยนี่กับฉันด้วย ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกับฉันเลย
เมื่อผู้จัดการยอมเซ็นใบลาออกให้ ฉันก็รีบยกมือไหว้กล่าวขอบคุณเดินออกมาจากแผนกทันที รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับนกน้อยที่เป็นอิสระเสียที ชีวิตไม่ต้องอยู่ใต้กฏใคร และสามารถก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่ต้องห่วงอะไร ๆ ข้างหลัง ผู้จัดการหนุ่มส่งยิ้มอย่างมีความหมายให้ฉันครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แปลกและก็ทำให้เด็กสาวอย่างฉันหวาดกลัวไม่น้อย
ฉันได้เดินไปร่ำลาเพื่อน ๆ ทุกคน โดยที่พี่อัตและเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ต่างก็อวยพรให้ฉันพบแต่ความโชคดี ฉันยอมรับว่าดีใจที่ได้งานใหม่ที่มั่นคง แต่รู้สึกเศร้าใจที่ต้องจากเพื่อนสนิทไปอยู่ที่อื่น ในวันนั้นฉันหันไปมองหน้าพี่อัตนิดหนึ่ง อยากขอบคุณมากมายกับความดีต่าง ๆ ที่พี่อัตมีให้ เพราะถ้าไม่ได้กำลังใจจากพี่อัตที่มีให้ ฉันก็คงจะเป็นคนแพ้ถ้อยคำและคนที่คอยเหยียบย่ำตลอด
"ไว้ว่าง ๆ พี่จะโทรไปหานะ ยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีเสียล่ะ มีอะไรก็โทรมาบอกพี่ได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจเสียล่ะ ณัฐยังมีพี่อยู่ทั้งคน"
พี่อัตบอกฉันทิ้งท้าย ส่งยิ้มให้ฉันตลอด ฉันยกมือไหว้พี่อัตด้วยความรู้สึกที่นับถือ เหมือนเพื่อนและพี่ชายคนหนึ่งที่ฉันมีให้เสมอต้นเสมอปลาย ฉันยอมรับว่าซาบซึ้งน้ำใจและสิ่งดี ๆ ที่พี่อัตมีให้
เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจอะไร ๆ ในชีวิตมากขึ้น พี่อัตเป็นผู้ชายที่ทำให้ฉันรู้ว่า การที่เรารักใครสักคน และได้ทำดีเพื่อคนที่เรารัก เป็นอะไรที่พิเศษที่สุด แม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่รักเรา ไม่เห็นคุณค่า แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ได้มอบความรักและความรู้สึกดี ๆ ให้เขาไปแล้ว และเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาคนนั้นจะระลึกถึงความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้ และไม่มีวันลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ และฉันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ที่ระลึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ตลอด และอยากขอบคุณฟ้าดินที่ให้ฉันได้รู้จักคนดี ๆ คนหนึ่งที่บริษัทโซนี่ ฉันจะจดจำคนดี ๆ ที่มีคุณค่าไว้ในใจเสมอ